บุคคลผู้จำเริญมรรคปัญญาเป็นคำรบ ๓ แล้วได้สำเร็จแก่โลกุตตรผลนั้น ได้นามชื่อว่า อนาคามีบุคคล
อธิบายว่า ถ้ายังมิได้พระอรหัตต์ในชาตินั้น จะได้บังเกิดในพรหมโลก แล้วจะมิได้กลับมาเอาปฏิสนธิในกามโลกนี้เลย จึงได้ชื่อว่าอนาคามี
แลพระอนาคามีบุคคล ที่มีปกติมละเสียซึ่งกามโลกนี้แล้ว แลตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปทาน ได้กิเลสปรินิพพานในสุทธาวาสพรหมโลกนั้นมีประเภท ๕ จำพวก คืออันตราปรินิพพายีจำพวก ๑ คือ อุปหัจจปรินิพพายีจำพวก ๑ คือสสังขารปริพพายีจำพวก ๑ คืออสังขารปรินิพพายีจำพวก ๑ คืออุทธังโสโตอกนิฏฐคามีจำพวก ๑ เข้ากันเป็น ๕ จำพวก โดยอินทรีย์เวมัตต์ คือสภาวะกล้าแลอ่อนแห่งสัทธาอินทรีย์ อันยังปัญญาวิมุตติให้เกือบแก่
อธิบายว่า พระอนาคามีจำพวกใด บังเกิดในสุทธาสภพอันใดอันหนึ่งแล้ว ยังมิถึงท่ามกลางอายุ ก็ได้สำเร็จแก่กิเลสปรินิพพาน คือได้พระอรหัตต์ พระอนาคามีจำพวกนี้แลได้นามชื่อว่า อันตราปรินิพพายีเป็นปฐม
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด บังเกิดในสุทธาวาสอันใดอันหนึ่งแล้ว ต่อล่วงถึงท่ามกลางอายุจึงได้พระอรหัตต์ พระอนาคามีบุคคลจำพวกนี้ ชื่ออุปหัจจปรินิพพายี เป็นคำรบ ๒
พระอนาคามิบุคคลจำพวกใด เมื่อยังพระอรหัตตมรรคให้บังเกิดได้โดยง่ายสบายมิได้ลำบาก พระอนาคามีบุคคลจำพวกนี้ ชื่อว่าสสังขารปรินิพพายีเป็นคำรบ ๓
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด เมื่อยังพระอรหัตตมรรคให้บังเกิดก็ให้บังเกิดด้วยยาก พระอนาคามีบุคคลนั้น ชื่อว่าอสังขารปรินิพพายีเป็นคำรบ ๔
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด บังเกิดในสุทธาวาสเบื้องต่ำ ๆ แล้วมิได้พระอรหัตต์ในสุทธาวาสเบื้องต่ำๆ นั้น จุติในสุทธาวาสเบื้องต่ำที่เกิดแล้ว ก็ขึ้นไปบังเกิดในสุทธาวาสเบื้องบน ๆ ตราบเท่าถึงชั้นอกนิฏฐแล้วจึงได้พระอรหัตต์ในอกนิฏฐภพนั้น พระอนาคามีบุคคลจำพวกนี้ชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามีเป็นคำรบ ๕
ในคัมภีร์ฎีกาจัดเป็นประเภทให้วิเศษเฉพาะอีกเล่าว่า นักปราชญ์พึงรู้จตุกกะ ชื่ออุทธังโสโตอกนิฏฐคามิจตุกกะ เพื่อจะได้รู้ซึ่งประเภทแห่งพระอนาคามีบุคคลทั้งหลายดังนี้
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด ชำระสุทธาวาสเทวโลกทั้งหลาย ๕ จำเดิมแต่ชั้นอวิหาแล้วก็ไปบังเกิดในชั้นอกนิฏฐ จึงได้พระอรหัตต์ พระอนาคามีบคคลจำพวกนี้ชื่อว่า อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
อธิบายว่า มีกระแสตัณหาแลกระแสวัฏฏะในเบื้องบน แลไปสู่อกนิฏฐเป็นที่ ๑
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด ชำระสุทธาวาสเทวโลกเบื้องต่ำ ๓ ชั้นเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปชั้นสุทัสสีสุทธาวาส จึงได้พระอรหัตต์พระอนาคามีบุคคลจำพวกนี้ ได้นามบัญญัติชื่อว่า อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
อธิบายว่า มีกระแสตัณหาแลกระแสวัฏฏะในเบื้องบน แต่ทว่าไปบ่มิได้ไปถึงชั้นอกนิฏฐ เป็นที่ ๒
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด จุติจากอาตมาภาพนี้แล้ว ก็ไปบังเกิดในชั้นอกนิฏฐที่เดียวก็ได้พระอรหัตต์ พระอนาคามีบุคคลจำพวกนี้ชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นที่ ๓
พระอนาคามีบุคคลจำพวกใด เกิดในสุทธาวาสเบื้องต่ำ แต่อวิหาตราบเท่าถึงสุทัสสี เกิดในชั้นใดก็ได้พระอรหัตต์ในชั้นนั้น พระอนาคามีบุคคลจำพวกนี้ ชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็น ๔
ประเภทที่กล่าวมานี้ชื่อว่า อุทโธโสโตอกนิฏฐคาตุกกะ
อนึ่งพระอนาคามีบุคคลทั้งหลาย อันเกิดในชั้นสุทธาวาสอันเป็นปฐมคือชั้น อวิหา อันมีอายุได้พันมหากัปป์ มีประเภท ๑๐ อย่าง
คือพระอนาคามีบุคคลที่ได้พระอรหัตต์ ในลำดับที่ได้เกิดนั้นจัดเป็นอย่าง ๑
ที่เนิ่นไปกว่านั้น แต่ทว่ายังไม่ถึงท่ามกลางอยู่ คือที่สุด ๕๐๐ มหากัปป์ ก็ได้พระอรหัตต์นั้นจัดเป็นอย่าง ๑ ที่พอถึงท่ามกลางอายุที่สุด ๕๑๐ กัปป์ จึงได้พระอรหัตต์จัดเป็นอย่าง ๑ เป็น ๓ อย่างด้วยกัน ชื่อว่าอันตราปรินิพพยายี
พระอนาคามีบุคคลที่ถึงท่ามกลางอายุคือที่สุด ๕๐๐ มหากัปป์ แล้วจึงได้พระอรหัตต์จัดเป็นอย่าง ๑ ชื่อว่าอุปหัจจปรินิพพายี
พระอนาคามีบุคคลที่มิได้พระอรหัตต์ ในชั้นอวิหาสุทธาวาสทรมานอยู่ถ้วนถึงพันมหากัปป์แล้ว จุติขึ้นไปบังเกิดในสุทธาวาสเบื้องบน คือชั้นอตัปปา จึงได้พระอรหัตต์จัดเป็นอย่าง ๑ ชื่อว่าอุทธังโสโตเป็นคำรบ ๕ จำพวกด้วย
แจกเป็นอสังขารปรินิพพายี ก็ได้ทั้ง ๕ อย่าง เป็นสสังขารปรินิพพายี ก็ได้ทั้ง ๕ อย่าง สิริเป็นพระอนาคามีบุคคล ๑๐ อย่างแต่ชั้นอวิหาสุทธาวาส
ในชั้นอตัปปามีอายุได้ ๒ พันมหากัปป์ ในชั้นสุทัสสีมีอายุได้ ๔ พันมหากัปป์ก็ดี ในชั้นสุทัสสีอันมีอายุยืนได้ ๕ พันมหากัปป์ก็ดี ก็มีประเภทแห่งพระอนาคามีบุคคลชั้นะสิบ ๆ เข้ากันเป็น ๔๐ แต่ชั้นสุทธาวาสเบื้องต่ำทั้ง ๔ นั้น
ฝ่ายชั้นอกนิฏฐสุทธาวาสนั้น หาอุทธังโสตบ่มิได้ คงมีแต่อันตราปรินิพพายี ๓ จำพวก อุปหัจจปรินิพพายีจำพวก ๑ เป็นคำรบ ๔
แจกเป็นอสังขารปรินิพพายี ๔ เป็นสสังขารปรินิพพายี ๔ เข้าด้วยกันเป็นพระอนาคามีบุคคล ๘ จำพวกในชั้นอกนิฏฐ์ สิริเป็น ๔๘ กับทั้งประเภทที่กล่าวในชั้นสทุธาวาสเบื้องต่ำทั้ง ๔ ด้วยกัน
พระโยคาพจรผู้เจริญพระอริยมรรคเป็นคำรบ ๔ คือพระอรหัตต์บางพระองค์เป็นสัทธาวิมุตติ คือกระทำศรัทธาเป็นใหญ่แล้วก็พ้นจากกิเลสบางพระองค์เป็นปัญญาวิมุตติ คือพ้นจากกิเลสด้วยปัญญาเป็นใหญ่เป็นประธาน บางพระองค์เป็นอุภโตภาภาควิมุตติ
อธิบายว่า พ้นจากรูป ด้วยอรูปสมบัติ แลพ้นจากนามกายคือกองกิเลส ด้วยอรหัตต์จึงได้นามบัญญัติชื่อว่า อุภโตภาควิมุตติ
บางพระองค์ก็ทรงไตรวิชชา บางองค์ก็ทรงฉฬภิญญา บางองค์ก็ถึงประเภทแห่งจตุปฏิสัมภิทา เป็นมหาขีณาสพอันประเสริฐเป็นขีณาสพบุคคล ๖ อย่างโดยสังเขป จัดโดยพิสดารตั้งแต่แรกโสดาบันบุคคลนั้นมา โสดาบันบุคคลที่จัดเป็น ๓ จำพวก คือ สัตตักขัตตุปรมะก็ดี โกลังโกละก็ดีเอกพีซีก็ดี แต่ละพวก ๆ แจกเป็นพวกละสี่ ๆ ด้วยประเภทแห่งปฏิปทา ๔ มีทุกขา ปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นอาทิสิริเป็น ๑๒
พระสกทาคามีบุคคลที่พ้นจากกิเลส ด้วยสุญญตวิโมกข์ คือเอาอนัตตาเป็นอารมณ์ ในขณะแห่งวุฏฐานคามีวิปัสสนา ในมรรควิถีสืบต่อเข้าด้วยพระสกทาคามีมรรคก็จัดเป็น ๔ จำพวกด้วยประเภทแห่งประฏิบัติ ๔ ที่พ้นจากกิเลสด้วยนิมิตตวิโมกข์ คือเอาทุกขังเป็นอารมณ์ก็ดี ก็มีประเภทละสี่ ๆ สิริเป็นสกทาคมีบุคคล ๑๒ จำพวกด้วยกัน
ฝ่ายพระอรหัตต์มีประเภท ๑๒ ด้วยสามารถแห่งวิโมกข์ ๓ แลปฏิปทา ๔ เหมือนกับพระสกทาคามี แล้วแจกเจือสัทธาธุระก็ได้ ๑๒ ปัญญาธุระก็ได้ ๑๒ แจกด้วยไตรวิชา แลฉฬภิญญา แลปฏิสัมภิทาก็ได้สิ่งละ ๑๒ สิริเป็นพระอรหัตต์ ๖๐ ทัศ
แลพระอริยบุคคลเจ้าทั้งหลายที่พรรณามานี้ เป็นพระโสดาบัน ๒๔ พระสกทาคามี ๑๒ พระอนาคามี ๔๘ พระอรหัตต์ ๖๐ สิริเป็นอริยบุคคลได้ ๑๔๔ กับทั้งพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ๑ แลพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ๑ จึงรวมพระอริยบุคคลทั้งสิ้นเป็น ๑๔๖ ด้วยกัน
กิริยาที่สำเร็จซึ่งสภาวะเป็นอริยะ แห่งพระอริยบุคคลทั้งหลายนั้นก็สำเร็จด้วยโลกุตตรปัญญาภาวนา
เตน วุตฺตํ เหตุดังนั้น พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าผู้รจนาคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคจึงได้กล่าวไว้ว่า
อาหุเนยฺยภควาทิสิทฺธิปิ อิมิสฺสา โลกุตฺตรปญฺญภาวนาย อานิสํโสติ เวทิตพฺโพ
แปลความว่า กิริยาที่สำเร็จคุณมีชื่อว่า อาหุเนยฺย เป็นอาทิก็เป็นอานิสงส์แห่งโลกุตตรปัญญาภาวนา เอวํ อเนกานิสํสา อันว่ากิริยาอันเจริญซึ่งอริยปัญญานี้ มีผลานิสงส์เป็นปริยายจะนับประมาณมิได้ด้วยประการดังนี้
เหตุใด เหตุดังนั้น นักปราชญ์ผู้ประกอบด้วยวิจารณะปัญญาพึงอุตสาหะกระทำซึ่งความเสน่หารักใคร่ จงรักภักดียิ่งนักในทางพิธีที่เจริญซึ่งพระโลกุตตรปัญญานั้นเถิด
แสดงมาด้วยปัญญาภาวนานิสังสนิเทศ ปริจเฉทเป็นคำรบ ๒๓ ก็จบข้อความตามวาระพระบาลี ในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรคบั้นปลายยุติการแต่เพียงนี้แล