แต่นี้จักวินิจฉัยในจตุตถารูปกรรมฐานสืบต่อไป เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ ภาเวตุกาเมน พระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะจำเริญเนวสัญญานาสัญญายตนกรรมฐานนั้น พึงจำเริญตติยารูปฌานให้มีวสี ๕ ประการชำนิชำนาญเป็นอันดีแล้ว พึงพิจารณาให้เห็นโทษแห่งตติยารูปฌานว่า อาสนฺนวิญฺญาณญฺจายตนปจฺจตฺถิกา ตติยารูปฌานนี้มีข้าศึก คือวิญญาณัญจายตนฌานอันอยู่ใกล้อารมณ์แห่งตติยารูปฌานนี้ ย่อมเแล้วด้วยสัญญา ๆ นั้นยังหยาบยังเป็นโรคเป็นภัย ยังเป็นปมเป็นเปา ยังเป็นลูกศรเสียบแทงจิตสันดานอยู่จะได้ละเอียดเหมือนเนววัญญายตนฌานหาบ่มิได้ เมื่อพิจารณาให้เห็นโทษแห่งตติยารูปฌานให้สิ้นแล้ว พึงกระทำมนสิการกำหนดให้เป็นคุณานิสงส์แห่งเนวสัญญายตนฌานว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้ละเอียดประณีตบรรจงยิ่งนัก มาตรแม้ว่ามีสัญญาอยู่ ก็เหมือนจะหาสัญญาบ่มิได้ พึงพิจารณาให้เห็นคุณานิสงส์ฉะนี้
ยังความรักความยินดีให้บังเกิดในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้ว จึงล่วงเสียซึ่งอารมณ์แห่งตติยารูปฌานอารมณ์ที่สำคัญว่าปฐมารูปฌาน ไม่มีนั้นพึงสละละเสียอย่าได้มนสิการกำหนดกฏหมายเพิกเฉยเสีย อย่ายึดอย่าหน่วงเอา อย่าผูกพันไว้ในสันดาน พึงกำหนดเอาแต่ตติยารูปฌานเป็นอารมณ์กระทำบริกรรมว่า สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ ตติยารูปจิตนี้ ละเอียดประณีตบรรจง บ่มิได้หยาบ ตกฺกาหตา วิตกฺกาหตา กาตพฺพา พึงนำมาซึ่งตติยารูปวิญญาณด้วยวิตกโดยวิเศษวิตกวิจารเนือง ๆ อยู่แล้วนิมิตแห่งตติยารูปจิตก็จะบังเกิด นิวรรณธรรมก็สงบจากสันดาน เมื่อนิวรรณธรรมสงบแล้ว จิตก็จะตั้งได้เป็นอุปจารสมาธิแล้วให้พระโยคาพจรส้องเสพนิมิตแห่งตติยารูปจิตเนือง ๆ อย่าได้ละได้ลืมซึ่งอุตสาหะกระทำบริกรรมว่า สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ ตติยารูปจิตนี้ละเอียด ตติยารูปจิตนี้ประณีต บริกรรมไป ๆ ร้อยคาบพันคาบหมื่นคาบแสนคาบ กว่าจิตจะแน่แน่วเป็นอัปปนาได้สำเร็จจตุตถารูปฌานอันชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนนั้น แท้จริงอรูปสมาบัติ ๔ นี้ นับเข้าในปัญจมฌาน กอปรด้วยองค์ ๒ คือเอกัคคตา แลอุเบกขา วิตก วิจารปีติสุข นั้นจะได้เป็นองค์แห่งอรูปสมาบัติหามิได้ แลข้อซึ่งว่าให้กระทำวิตกให้ตั้งวิตกไว้
ข้อนี้นี่เฉพาะว่าบุรพภาคเบื้องต้น กาลเมื่อดำรงจิตในบุรพภาคนั้น จะทิ้งวิตกวิจารเสียบ่มิได้ จำจะมีวิจารเป็นเดิมก่อน เพราะเหตุว่าอรูปฌานนี้ล่วงอารมณ์กันทุกชั้น ๆ จะยืนอารมณ์ไว้อย่างเดียวกันอย่างรูปาพจรสมาบัตินั้นยืนไว้บ่มิได้ อันรูปสมาบัตินั้นถ้าเอากสิณสิ่งใดเป็นอารมณ์แล้ว จะตั้งกสิณนั้นให้ขึงไว้ไม่เปลี่ยนกสิณเลย จะเข้าฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ให้ตลอดตราบเท่าถึงปัญจมฌานนั้นก็อาจเข้าได้เพราะเห็นว่าอรูปฌานนั้น อารมณ์ยืนไม่เปลี่ยน อารมณ์เหมือนรูปฌาน ๆ นี้ล่วงอารมณ์ไม่ยืน ต้องล่วงอารมณ์กันทุกชั้น ๆ เหตุดังนั้น ในบุพภาคแรกจำเริญอรูปสมาบัติทั้ง ๔ นี้จึงมิอาจละวิตกวิจารเสียได้ ต้องมีวิตกวิจารในบุรพภาคก่อน ต่อถึงอัปปนาจิตแล้วจึงปราศจากวิตกวิจาร คงมีองค์อยู่แต่ ๒ ประการคือ เอกัคคตากับอุเบกขา ในปฐมอัปปนาแรกได้จตุถารูปฌานนี้ จตุตถารูปจิตบังเกิดขณะ ๑ อุเบกขาญาณสัมปยุตกามาพจรชวนะที่ให้สำเร็จกิจเป็นบริกรรมแลอุปจาร เป็นอนุโลมแลโคตรภูนั้นบังเกิด ๓ ขณะบ้าง ๔ ขณะบ้างอย่างสำแดงมาแล้วแต่หลัง จตุตถารูปฌานนี้ ก็มีคุณานิสงส์ ละรูปสัญญาแลปฏิฆสัญญาแลนานัตตสัญญาเสียได้เหมือนกันกับอรูปฌานเบื้องต้น ที่สำแดงแล้วแต่เดิมทีแลจตุตถารูปฌานได้นามบัญญัติชื่อว่าเนวสัญญานั้นด้วยอรรถว่ามีสัญญาเวทนา แลสัมปยุตธรรมทั้งปวง อันละเอียดสิ้นทุกสิ่งทุกประการใช่จะละเอียดแต่สัญญาสิ่งเดียวนั้นหาบ่มิได้ ข้อซึ่งยกขึ้นว่าจตุตถารูปจิตมีสัญญาอันละเอียด ถ้ามาสัญญาก็เหมือนดุจหาสัญญาบ่มิได้
ข้อนี้นี่ว่าด้วยสามารถประธานนัย ยกสัญญาขึ้นตั้งเป็นประธาน ที่แท้นั้นจะละเอียดแต่สัญญาสิ่งเดียวหาบ่มิได้ จิตก็จะละเอียดเจตสิกแต่บรรดาสัมปยุตด้วยจิตนั้นก็ละเอียด มีคำปุจฉาว่า สนฺโต เจ มนสิ กโรติ กถํ สมติกฺกโมโหติ ว่าด้วยพระโยคาพจรผู้จำเริญ จตุตถารูปฌานนั้น เมื่อกระทำมนสิการกำหนดกฏหมายอยู่ว่าตติยารูปจิตละเอียดตติยารูปจิตประณีตวิตกวิจารอยู่เนือง ๆ วิสัชนาว่า อสมาปชฺชิตุกามตาย พระโยคาพจรกุลบุตรจะล่วงตติยารูปฌานเสียได้นั้น เพราะเหตุที่มิได้ปรารถนาที่จะเข้าสู่ตติยารูปฌาน เห็นว่าตติยารูปฌานละเอียด ตั้งจิตวิจารอยู่ในตติยารูปจิตก็จริงอยู่แลแต่ทว่าหาได้คิดว่าจะพิจารณาอารมณ์ แต่งตติยาจิตนั้นไม่ ที่จะได้คิดว่าอาตมาจะเข้าสู่ตติยารูปฌานอีก อาตมาจะอธิษฐานเอาตติยารูปฌานอีก อาตมาจะออกจากตติยารูปฌานอีกอาตมาจะพิจารณาติติยารูปฌานอีก จะได้คิดดังนี้หาบ่มิได้ อาศัยเหตุฉะนี้พระโยคาพจรนั้นจึงอาจล่วงเสียซึ่งตติยารูปฌานนั้นได้
เออก็เหตุไฉนเมื่อเห็นตติยารูปฌานละเอียดประณีตบรรจงดีแล้วจึงล่วงละเสียไม่เข้าสู่ตติยารูปฌานเล่า ข้อซึ่งไม่เข้าสู่ตติยารูปฌานนั้นเพราะเหตุที่เห็นว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้นละเอียดยิ่งกว่าตติยารูปประณีตกว่าตติยารูป จักรักใคร่ผูกพันอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ปรารถนาเนวสัญญานั้นเป็นเบื้องหน้า จึงล่วงเสียซึ่งตติยารูปฌานเปรียบปานดุจสมเด็จพระมหากษัตริย์ อันเสด็จสถิตเหนือคอช้างพระที่นั่งตัวประเสริฐ เสด็จโดยนครวิถีถนนหลวงด้วยพระเดชานุภาพเป็นอันมาก ทนฺตการาทโย ทิสฺวา ได้ทอดพระเนตรเห็นช่างทั้งหลายเป็นต้นว่าช่างไม้แลช่างงาอันเลื่อยงาผ่าเป็นซีกน้อยแลซีกใหญ่ กระทำเครื่องไม้แลเครื่องเงางามประหลาดต่าง ๆ ตามศีลปศาสตร์ตนเคยกระทำบรมกษัตริย์นั้นครั้นทอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระโสมนัสปรีดาชมเชยว่า ช่างเหล่านี้ขยันนักหนาฝีมือดี ๆ กระทำการชำนิชำนาญควรจะเป็นครูเป็นอาจารย์สั่งสอน ลูกศิษย์ได้ตรัสชมฝีมือช่างทั้งปวงก็จริง แต่ทว่าพระองค์จะได้ปรารถนาที่จะละสมบัติเสียแล้วแลจะเป็นนายช่างเหมือนอย่างชนเหล่านั้นหาบ่มิได้เหตุใด เหตุว่าสมบัติประเสริฐเลิศกว่าศิลปศาสตร์ช่างทั้งปวงตกว่าชมฝีมือช่างนั้นชมนักชมหนา แต่น้ำพระทัยมิได้ปรารถนาที่จะเป็นช่าง อันนี้แลมีอุปมาฉันใด พระโยคาพจรผู้กระทำมนสิการว่าตติยารูปละเอียด ตติยารูปจิตประณีตนั้น มนสิการเอาเป็นนักเป็นหนาก็จริงแล แต่ทว่าจะได้ปรารถนาที่จะเข้าสู่ตติยารูปฌานอีกหาบ่มิได้ จิตนั้นรักใคร่ปรารถนาปรารภอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จึงจะล่วงเสียบ่มิได้เข้าสู่ตติยารูปฌาน เพราะเหตุเห็นว่าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น มีอานิสงส์มากยิ่งกว่าตติยารูปฌาน มีอุปไมยดังพระมหากษัตริย์อันชมฝีมือช่าง แลมิได้ปรารถนาที่จะถอยพระองค์ลงเป็นช่างนั้น
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้ บางคาบสมเด็จพระพุทธองค์ตรัสเทศนาเรียกว่าสังขาราวเสสสมบัติเพราะเหตุว่าละเอียดด้วยแท้ มีสัญญาก็เหมือนดุจหาสัญญาบ่มิได้ ครั้นจะว่าไม่มีสัญญาเลยก็ว่าบ่มิได้ เพราะเหตุว่าสัญญาละเอียด ๆ นั้น ยังอยู่เปรียบเหมือนน้ำที่ยังร้อนอยู่นั้น จะว่าหาเตโชธาตุบ่มิได้ ปราศจากเตโชธาตุนั้นหาบ่มิได้ ไม่มีเตโชธาตุแล้ว ดังฤๅ น้ำจะร้อนเล่า เตโชธาตุนั้นมีอยู่เป็นแท้น้ำจึงร้อน แต่ทว่าเตโชธาตุนั้นละเอียดกว่าละเอียดที่จะเอามาใช้สอยกระทำการหุงต้มปิ้งจี่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นใช้สอยบ่มิได้ สัญญาในจตุตถารูปสมาบัตินั้น ก็ละเอียดกว่าละเอียด พ้นวิสัยที่พระโยคาพจรจะพิจารณาเอาเป็นอารมณ์แห่งพระวิปัสสนานิพพิทาฌาณได้ มีอุปไมยดังนั้น แท้จริงพระโยคาพจรที่บำเพ็ญพระวิปัสสนากรรมฐานนั้น ถ้าไม่พิจารณานามขันธ์กองอื่นเลย จึงพึงพิจารณาแต่เนวสัญญานาสัญญายตนขันธ์กองเดียวนั้น บ่มิอาจจะยังวิปัสสนานิพพิทาญาณให้บังเกิดได้
อันวิปัสสนานิพพิทาญาณจะบังเกิดให้เกลียดหน่ายในสังสารวัฏนั้นอาศัยแก่พิจารณานามขันธ์หยาบ ๆ อันจะพิจารณานามขันธ์ที่ละเอียด ๆ นั้น มิอาจจะยังความเกลียดหน่ายให้บังเกิดได้ ต่อเมื่อได้มีปัญญากล้าหาญเปรียบปานดุจดังพระสารีบุตรผู้เชี่ยวชาญในการที่จะพิจารณากลาปรูป จึงอาจที่จะพิจารณาเอาจตุตถารูปจิตเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนานิพพิทาฌาณได้ สุขุมตฺตํ คตา สัญญาในเนวสัญญานาสัญญายตนจิตนั้น ถึงซึ่งภาวะละเอียดเปรียบเหมือนน้ำมันทาบาตรแลน้ำอันซับอยู่ในหนทาง กิระดังได้ยินมาสามเณรองค์หนึ่งเอาน้ำมันทาบาตรแล้วก็ตั้งไว้ ครั้นถึงเพลาฉันกระยาคู พระมหาเถระผู้เป็นชีต้นร้องเรียกจะเอาบาตร สามเณรก็ว่าบาตรติดน้ำมันอยู่ พระมหาเถระจึงว่ายกมาเถิด เราจะเทไว้ในกระบอกน้ำมัน สามเณรจึงว่าน้ำมันนั้นข้าพเจ้าทามาตรไว้แต่พอให้กันสนิม จะมีมากถึงได้เทใส่กระบอกไว้นั้นก็หาบ่มิได้ตกว่าน้ำมันนั้นสักแต่ว่ามี ฉันใดก็ดี สัญญาในเนวสัญญานาสัญญาตนจิตนั้นก็ละเอียดกว่าละเอียดสักแต่มี มีอุปไมยในเนวสัญญานาสัญญายตนจิตนั้นก็ละเอียดกว่าละเอียดสักแต่มี มีอุปไมยดังนั้น
ยังมีสามเณรองค์ ๑ เล่าเดินทางไกลไปกับพระมหาเถระผู้เป็นอุปัชฌาย์ สามเณรนั้นเดินไปข้างหน้าไปพบน้ำซับอยู่ที่หนทาง จึงบอกแก่พระมหาเถระว่าทางเป็นน้ำพระเจ้าข้า ถอดรองเท้าเสียก่อนเถิด ดูกรเจ้าสามเณร ท่านจงเอาผ้าชุบอาบมาให้แก่เรา ๆ ร้อนนักหนา จะอาบน้ำเสียให้สบายคลายร้อน พระเจ้าข้าที่จะอาศัยอาบอาศัยฉันไม่ได้ น้ำน้อยแต่พอจะชุ่มรองเท้า ใส่รองเท้าไปนั้นรองเท้าจะชุ่ม ข้าพเจ้าจึงบอกให้ถอดรองเท้า ตกว่าน้ำนั้นสักแต่ว่ามีฉันใดสัญญาในเนวสัญญานาสัญญายตนจิตนั้นก็ละเอียดกว่าอะเอียดสักแต่ว่ามี มีอุปไมยดังนั้น
แต่นี้จักวิสัชนาใน ปกิณกถาให้เห็นแจ้งว่าอรูปสมาบัติต่างออกเป็น ๔ ประการดังนี้ด้วยสามารถ อารมณ์อันต่างล่วงอารมณ์ต่อ ๆ กัน ปฐมารูปฌาณนั้นล่วงเสียซึ่งกสิณนิมิตพิจารณาแต่อาการที่มีกสิณเพิกแล้วเป็นอารมณ์ ทุติยารูปฌานนั้น ล่วงอากาศเสียพิจารณาแต่ปฐมารูปเป็นอารมณ์ตติยารูปฌานนั้น ล่วงตติยารูปเสียพิจารณาที่สูญเปล่า ที่ไม่มีปฐมารูปเป็นอารมณ์ จตุตถารูปฌานนั้น ล่วงสูญที่เปล่าที่ไม่มีแห่งปฐมารูปนั้นเสีย พิจารณาเอาแต่ตติยารูปจิตเป็นอารมณ์ ตกว่าอารมณ์นั้นต่างล่วงอารมณ์ต่อ ๆ กันฉะนั้น แต่องค์ฌานนั้นจะได้ล่วงกันหาบ่มิได้ อรูปฌานทั้ง ๔ นี้มีองค์ ๒ ประการ คือเอกัคคตากับอุเบกขาเหมือนกันสิ้นองค์แห่งอรูปฌานทั้ง ๔ นี้ บ่มิได้แปลกกัน
มีคำปุจฉาว่าอรูปฌานทั้ง ๔ นี้ เมื่อแลมีองค์ ๒ ประการเหมือนกันสิ้นไม่แปลกนั้น ทำไฉนจึงประณีตกว่ากันละเอียดกว่ากันเป็นนั้น ๆ ด้วยเหตุผลเป็นประการใด วิสัชนาว่าองค์ ๒ ประการเหมือนกันไม่แปลกกันก็จริง แต่ทว่าไม่แปลกกันแต่องค์อารมณ์นั้นแปลกกัน ประณีตกว่ากันเป็นชั้น ๆ ละเอียดกว่ากันเป็นชั้น ๆ เปรียบเหมือนพื้นปรางค์ปราสาททั้ง ๔ แลแผ่นผ้าสาฎก ๔ ผืนอันแปลกกันกิระดังได้ยินมา ยังมีปรางค์ปราสาทอันหนึ่งมีพื้นได้ ๔ ชั้น ๆ เบื้องต่ำนั้นบริบูรณ์ไปด้วยเบญจกามคุณ คือขับร้องรำฟ้อนดีดสีตีเป่าดุริยางค์ดนตรีทั้งปวงแต่ล้วนเป็นทิพย์ เตียงตั่งที่นั่งที่นอนผ้านุ่งผ้าห่มดอกไม้ของหอมโภชนาหารสรรพมีพร้อม แต่ล้วนแล้วด้วยเครื่องทิพย์บริบูรณ์นักหนาอยู่แล้ว แต่ทว่าไม่บริบูรณ์เหมือนชั้นคำรบ ๒ ๆ นั้น บริบูรณ์ยิ่งกว่ากัน ครั้นขึ้นไปถึงชั้นคำรบ ๓ นั้นก็ยิ่งมากยิ่งบริบูรณ์หนักขึ้นไปกว่าชั้นเป็นคำรบ ๒ ยิ่งขึ้นไปถึงชั้น ๔ ก็ยิ่งบริบูรณ์กว่าชั้น ๓ ได้ ๑๐๐ เท่า ๑๐๐๐ ทวี ตกว่าพื้นทั้ง ๔ แห่งปรางค์ปราสาทนั้นเท่ากัน หาแปลกกันไม่ แปลกกันแต่ปัญจกามคุณยิ่งกว่ากันด้วยเบญจกามคุณแลมีฉันใด อรูปฌานทั้ง ๔ นี้มีองค์ ๒ ประการเท่ากันหาแปลกกันไม่ แต่ทว่ายิ่งกว่ากันด้วยอารมณ์ละเอียดกว่ากันประณีตกว่ากันเป็นชั้น ๆ ด้วยสามารถมีอารมณ์ต่าง ๆ กันก็มีอุปไมยดังนี้
กิระดังได้ยินมา ยังมีสตรีภาพ ๔ คนปั่นด้ายด้วยกันในที่อันเดียวกัน สตรีภาพผู้หนึ่งนั้นปั่นด้ายเส้นใหญ่ ผู้หนึ่งปั่นด้ายเส้นรวม ผู้หนึ่งปั่นด้ายเส้นเล็ก ผู้หนึ่งนั้นปั่นด้ายเส้นละเอียด ครั้นปั่นเสร็จแล้ว ก็เอาออกมาทอผ้าผืนเท่ากัน ครั้นตัดออกจากฟิมแล้ว เอามาวัดกันก็กว้างเท่ากันยาวเท่ากัน แต่เนื้อผ้าไม่เหมือนกันเนื้อดีกว่ากันเป็นชั้น ๆ แลฉันใด อรูปฌานทั้ง ๔ นั้นมีองค์ ๒ ประการเหมือนกันก็จริงแต่ยิ่งกว่ากันด้วยอารมณ์ละเอียดกว่ากันเป็นชั้น ๆ ด้วยสามารถมีอารมณ์อันต่าง ๆ กันนักปราชญ์พึงสัญนิษฐานว่าทุติยารูปฌานนั้นได้อาศัยพึ่งพิงยึดหน่วงปฐมารูปวิญญาณ
ฝ่ายจตุตถารูปฌานนั้น ได้อาศัยยึดหน่วงตติยารูปวิญญาณ อสุจิพหิมณฺฑเปลคฺโค เปรียบเหมือนบุรษ ๔ คนยืนอยู่ที่มณฑป ยังมีมณฑปอันหนึ่งประดิษฐานอยู่ในประเทศอันอันลามกโสโครก บุรุษผู้หนึ่งเดินมาในสถานที่นั้น แลเห็นมณฑปก็ดีใจ สำคัญว่าจะได้สำนักอาศัยหลับนอนให้เป็นสุข ครั้นเข้าไปใกล้แลเห็นอสุจิก็มีความเกลียดความหน่าย บุรุษนั้นมิได้เข้าไปในมณฑปเอาแต่มือนั้นเข้ายึดเข้าหน่วงมณฑปแล้ว ก็ยืนโหนตัวอยู่ที่มณฑปอันนั้น ยังมีบุรุษอื่นอีกคนหนึ่งเล่า เดินมาในสถานที่นั้น ชายผู้นั้นแลเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ก่อนยึดหน่วงเอามณฑปอยู่ดังนั้น ก็ดำริว่าบุรุษผู้นี้ ยืนแอบชายร่มชอบกลหนักหนาอาตมาจะไปยืนแอบบุรุษผู้นั้นอยู่ให้สบายใจสักหน่อย คิดแล้วชายผู้นั้นก็เข้าไปใกล้กอดรัดกรัชกายแห่งบุรุษผู้นั้นเข้าแล้ว ก็ยืนเป็น ๒ คนด้วยกัน ยังมีบุรุษผู้หนึ่งเดินมาถึงประเทศที่นั้นอีกคนหนึ่งเล่า แลเห็นอาการแห่งคนทั้ง ๒ นั้นก็ดำริว่าชนทั้ง ๒ นี้ยืนหาดีไม่ ผู้หนึ่งยืนยึดหน่วงมณฑปโหนตัวอยู่หาถนัดไม่ ผู้หนึ่งนั้นเห็นดีอย่างไรจึงเข้าไปยืนกอดยืนรัด บัดเดี๋ยวก็จะพากันพลันม้วนลงไปในโสโครกหาไม่ช้า อาตมานี้ไม่เข้าไปในสำหนักแห่งชายทั้ง ๒ คนนั้นแล้ว จะยืนอยู่ที่เปล่าภายนอกเถิด
คิดแล้วบุรุษนั้นก็ยืนอยู่ที่เปล่าภายนอกพ้นจากประเทศที่ชาย ๒ คนยืน ยังมีบุรุษอื่นอีกคนหนึ่งเล่าเดินมาในสถานที่นั้น เห็นอาการอันยืนแห่งชนทั้ง ๒ ก็ดำริว่าชายทั้ง ๒ คนยืนภายในนั้น ใกล้จะตกลงในที่ลามก ชายผู้นั้นอยู่ในที่เปล่าภายนอกนี้แลยืนดีแล้ว อาตมาจะไปยืนอยู่ด้วยเถิด คิดแล้วบุรุษนั้นก็ไปยืนแอบแนบชิดรัดรึงกายแห่งชายที่ยืนภายนอกนั้น อันนี้แลมีอุปมาฉันใด อากาศที่พระโยคาพจรเพิกกสิณเสียแล้วนั้น มีอุปไมยดังมณฑปอันอยู่ในที่ประเทศลามกโสโครก ปฐมารูปฌานที่น่าเกลียดหน่ายจากรูป ยึดหน่วงเอาแต่อากาศที่มีกสิณเพิกเเล้วเป็นอารมณ์นั้น มีอุปไมยดังบุรุษอันมาถึงก่อนเกลียดอสุจิมิได้เข้าไปในมณฑป เอาแต่มือเข้ายึดหน่วงเอาแต่มณฑปแล้ว แลยืนโหนตัวอยู่ที่มณฑปนั้น แลทุติยารูปฌานที่ล่วงอากาศเสีย แลยึดหน่วงเอาแต่ปฐมารูปวิญญานเป็นอารมณ์นั้น มีอุปไมยดังบุรุษอันมาที่ ๒ เข้ารอบรัดบุรุษที่มาก่อน ยืนยึดหน่วงกรัชกายบุรุษที่มาเป็นปฐมแลตติยารูปฌานเป็นอารมณ์ที่ล่วงเสียซึ่งปฐมารูปวิญญาน ยึดหน่วงเอาที่สูญที่เปล่าที่ไม่มีปฐมารูป มีอุปไมยดังบุรุษอันมาที่ ๓ เห็นชายทั้ง ๒ คนยืนหาดีไม่ แลยืนอยู่ในที่เปล่าภายนอกพ้นจากประเทศที่บุรุษ ๒ ยืนแลจตุตถารูปฌานที่แอบเข้าเสียซึ่งที่สูญซึ่งที่สูญที่เปล่าแลหน่วงเอาตติยารูปวิญญานเป็นอารมณ์ มีอุปไมยดังบุรุษอันมาที่ ๔ เห็นว่าชายที่ยืนอยู่ภายนอกนั้น ยินดีแลเข้าอิง ยืนยึดหน่วงเอากรัชกายแห่งชายนั้นมีคำปุจฉาว่า
พระโยคาพจรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะจำเริญจตุตถารูปกรรมฐาน คือเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้นย่อมพิจารณาเห็นโทษแห่งตติยารูปฌานว่า อาสนฺนวิญฺญาณญฺจายตนปจฺจตฺถิกา ตติยารูปฌานนี้มีข้าศึก คือวิญญาณัญจายตนะอยู่ใกล้ จะได้ละเอียดเหมือนเวนสัญญานาสัญญายตนฌานหาบ่มิได้ เมื่อเห็นโทษแห่งตติยารูปฌานดังนี้เหตุไฉนจึงบริกรรมว่า สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ มนสิการกำหนดกฏหมายว่า ตติยารูปวิญญานละเอียด ตติยารูปวิญญานประณีตบรรจงเล่าความหน้ากับความหลังไม่เหมือนกัน เดิมสิพิจารณาเห็นโทษ ติเตียนว่าเสียไม่ดีแล้ว เหตุไฉนเมื่อบริกรรม จึงชมว่าดีประณีตเล่า อาศัยเหตุผลเป็นประการใดวิสัชนาว่าเดิมนั้นเห็นว่าตติยารูปหยาบ เห็นว่าไม่ละเอียดเหมือนเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จึงละล่วงเสีย ไม่พอใจเข้าสู่ตติยารูปฌานจิตนั้นปรารภปรารถนาที่จะเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ครั้นเมื่อจะดำรงจิตขึ้นสู่เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น หามีอารมณ์อันใดอันหนึ่งจะเป็นที่ยึดหน่วงไม่ จนเข้าแล้วก็กลับหน่วงเอาตติยารูปเป็นอารมณ์ กลับชมว่าละเอียดในกาลเมื่อภายหลังเปรียบเหมือนข้าหลวงอันพิจารณาเห็นโทษแห่งพระมหากษัตริย์ แลบ่าวอันพิจารณาเห็นโทษแห่งนายว่านายหาศีลหาสัตย์บ่มิได้ กอปรด้วยกายสมาจาร แลวจีสมาจาร แลมโนสมาจารอันหยาบช้าทารุณ ติเตียนว่าเจ้านายเรานี้ไม่ดีกระทำความชั่วหยาบช้าดังนี้ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่ดีแล้วจะหาที่พึ้งอื่นเลย ชั่ว ๆ ดี ๆ ก็จำเป็นเข้าไปสู่หาสมาคมแต่พอได้อาศัยเลี้ยงชีวิตอันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรผู้จำเริญเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น
เมื่อพิจารณาเห็นโทษแห่งตติยารูปจิตว่า ตติยารูปจิตนั้นหยาบแล้วจะหาอารมณ์ที่ละเอียดว่าตติยารูปจิตที่หาบ่มิได้ จนใจแล้วก็กลับยึดหน่วงเอาตติยารูปจิตเป็นอารมณ์ กลับชมว่าละเอียดประณีตบรรจงมีอุปไมยดังนั้น อารุฬฺโห อารุฬฺโห ทีฆนิสฺเสณี ยถา ถ้ามิดังนั้นเปรียบเหมือนบุคคลอันขึ้นบันไดที่ยาวขึ้นไป ๆ ไม่มีอันใดจะเป็นที่ยึดที่หน่วง เหลียวซ้ายแลขวาที่ยึดที่หน่วงบ่มิได้ ก็กลับยึดบันไดนั้นเอง ถ้ามิดังนั้น ปพฺพตญฺจ อารุฬฺโห เปรียบเหมือนบุคคลอันขึ้นสู่มิสกบรรพต ขึ้นเขาอันแล้วไปด้วยศิลาเจือกันเมื่อขึ้นไป ๆ ไม่มีต้นไม้เครือเขาเถาวัลย์จะยึดจะหน่วงแล้ว บุคคลผู้นั้นก็ยึดหน่วงเอายอดแห่งภูเขานั้นเอาเป็นที่ดำรงกาย ถ้ามิดังนั้น ยถา คิริมารุฬฺโห เปรียบเหมือนบุคคลที่ขึ้นสู่เขาด้วยศิลา ธรรมดาว่าเขาศิลานี้มักกำชับดำเนินได้ด้วยลำพังกาย
ถึงกระนั้นก็ดี เมื่อดำเนินสูงขึ้นไป ๆ ก็ได้อาศัยเท้าเข่าแห่งตน ได้อาศัยกรานเข่าแห่งตน อันนี้แลมีฉันใด พระโยคาพจรปรารถนาจะเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้น ก็ได้อาศัยยึดหน่วงตติยารูป ได้เท้าได้กรานได้ยึดได้หน่วง ตติยารูปวิญญาณจึงอาจจะเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ได้สำเร็จในรถความปรารถนามีอุปไมยดังนั้น ฯ
วินิจฉัยในอรูปกรรมฐานยุติเท่านี้