จึงพิจารณาโทษแห่งกามคุณว่า     อปฺปสฺสาทา    กามา   กามคุณนี้มีแต่จะกระทำให้เศร้าให้หมอง     จะกระทำให้ผ่องใส่มาตรว่าหน่อยหนึ่งหาบ่มิได้       อฏฺิกงฺขลูปมา    เบญจกามคุณนี้เปรียบเหมือนร่างอัฐิ     ด้วยอรรถว่ามีความยินดีอันปราศจากไปในขณะไม่มั่นคงไม่ยั่งยืน      ตินุกูปมา    ปัญจพิธกามคุณนี้เปรียบเหมือนด้วยคมแฝกคบคา    ด้วยอรรถว่าเผาลนจิตสันดานสัตว์ทั้งปวง    ให้เดือดร้อนหม่นไหม้อยู่เนือง    ๆ  บมิได้รู้แล้ว      องฺคาลสูกาปมา     ปัญจกามคุณนี้เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันใหญ่   ด้วยอรรถว่าให้โทษอับหยาบช้า    ให้ได้เสวยทุกข์เดือนร้อนยิ่งนัก    ดูนี้น่าสะดุ้งน่ากลัวนี้สุดกำลัง    
     สุปินกูปมา    เบญจกามคุณทั้ง   ๕   นี้เปรียบเหมือนความฝัน    ด้วยอรรถว่าแปรปรวนไปเป็นอื่น     ไม่ยั่งไม่ยืนไม่เที่ยงไม่เเท้ไม่สัตย์ไม่จริง      ยาจิตกูปมา    ปัญจพิธกามคุณนี้เปรียบเหมือนของยืม   ด้วยอรรถว่าประกอบไปใน      อันมีกำหนดเท่านั้นเท่านี้ไม่มั่นคง       รุกฺขผลูปมา    ปัญจกามคุณทั้ง   ๕    นี้   มีแต่จะกระทำให้เกิดการพิบัติต่าง  ๆ  เป็นต้นว่าหักแลทำลายแห่งอวัยวะใหญ่น้อยทั้งปวง   เปรียบเหมือนผลแห่งพฤกษาชาติอันบังเกิดแล้ว    แลเป็นเหตุที่จะให้บุคคลทั้งปวงหักกิ่งก้านรานใบแห่งพฤกษาชาตินั้น   
     อสิสูลูปมา   เบญจพิธกามคุณนี้     เปรียบเหมือนด้วยคมดาบ    ด้วยอรรถว่าสับแลแล่เถือขันธสันดาน     ให้เจ็บปวดยวดยิ่งเหลือล้นพ้นประมาณ      สสฺติสูลูปมา    เบญจกามคุณ    ๕   ประการนี้    เปรียบเหมือนหอกใหญ่    แลหลาวใหญ่    ด้วยอรรถว่าร้อยสัตว์ทั้งปวงไว้ให้ดิ้นอยู่ในกองทุกข์   แสนยากลำบากเวทนา     สปฺปสิรูปมา     เบญจกามคุณทั้งหลายนี้    เปรียบหมือนศีรษะแห่งอสรพิษด้วยอรรถว่าน่าครั่นน่าคร้ามน่าสดุ้งน่ากลัว   น่าตระหนกตกประหม่าเป็นกำลัง       พหุปายาสา     กามคุณนี้มากไปด้วยสะอื้นอาลัย   มากไปด้วยทุกข์แลภัย   
   พหุปริสฺสยา   มีอันตรายอันเบียดเบียนมาก      คมฺมา    เบญจกามคุณนี้   เป็นแห่งปุถุชน    บ่มิได้ประเสริฐ    บ่มิให้เป็นที่เกิดแห่งประโยชน์ตนแลประโยชน์ท่าน   พระโยคาพจรจึงพิจารณาโทษแห่งปัญจกามคุณเป็นอาทิดังนี้แล้ว    พึงตั้งจิตให้รักใคร่ในฌานธรรม     อันเป็นอุบายที่จะยกตนออกจากปัญจพิธกามคุณ   และจะล่วงเสียซึ่งกองทุกข์สิ้นทั้งปวง  
   เมื่อระลึกตรึกถึงพระพุทธคุณ   พระธรรมคุณ    พระสังฆคุณ        ยังปรีดาปราโมทย์ให้บังเกิดด้วยกิริยาที่ระลึกถึงพระรัตนตรัยแล้ว    พึงกระทำจิตให้มากไปด้วยเคารพรักใคร่ในพิธีทางปฏิบัติ    อย่าดูถูกดูต่ำ    สำคัญให้มั่นว่าปฏิบัติดังนี้ชื่อว่าเนกขัมมปฏิบัติ    สมเด็จพระสรรเพชญ์เจ้าทั้งปวง    แลพระปัจเจกโพธิ     พระอริยสาวกในพระบวรพุทธศาสนานี้    แต่สักพระองค์เดียวจะได้สละละเมินเสียหาบ่มิได้    แต่ล้วนปฏิบัติดังนี้ทุก  ๆ   พระองค์   
  ครั้นแล้วจึงตั้งจิตว่าอาตมาจะได้เสวยสุขเกิดแต่วิเวก   จะได้เสพรสอันเกิดแต่วิเวก    ด้วยปฏิบัติอันนี้โดยแท้     พึงตั้งจิตฉะนี้ยังอุตสาหะให้บังเกิดแล้ว    จึงลืมจักษุขึ้นแลดูดวงกสิณ    เมื่อเบิกจักษุขึ้นนั้น     อย่าเบิกให้กว้างนักจะลำบากจักษุ    อนึ่งมณฑลแห่งกสิณจะปรากฏแจ้งนัก    อุคคหนิมิตจะไม่บังเกิดขึ้น    ครั้นเบิกจักษุขึ้นน้อยนัก    มณฑลแห่งกสิณก็จะไม่ปรากฏแจ้ง    จิตที่จะถือเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์นั้นก็จะหดหู่ย่อหย่อนจะมีขวนขวายน้อย    ตกไปในฝ่ายโกสัชชะเกีนจคร้านจะเสียที     อุคคหนิมิตจะมิได้บังเกิดเหตุฉะนี้พึงลืมจักษุอาการอันเสมอ    กระทำอาการให้เหมือนบุคคลส่องแว่นดูเงาหน้าแห่งตนปรากฏในพื้นแห่งแว่น   
    กาลเมื่อแลดูกสิณมณฑลนั้นอย่าพิจารณาสี      ว่านี้สีแดง    ดังสีดวงพระอาทิตย์แรกขึ้น   อย่าพิจารณาที่แข็งที่กระด้าง    อย่าแยกพิจารณาดังนั้นเลยไม่ต้องการ    ถ้าจะแยกออกพิจารณาแล้ว   ดินที่ปั้นดวงกสิณนั้นจะแยกออกได้เป็น    ๘   ประการ     เพราะเหตุว่าดินนั้นจะเป็นปฐวีสิ่งเดียวหาบ่มิได้     อาโปธาตุ     เตโชธาตุ     วาโยธาตุ   สีแลกลิ่นรสแลโอชานั้น    มีพร้อมอยู่ทั้ง    ๘   ประการ    แต่ทว่าปฐวีธาตุนั้นหนา   
   ปฐวีธาตุนั้นก็ได้นามบัญญัติชื่อว่าดิน    ถึงจะแยกออกพิจารณาได้ดังนั้นก็ดี    เมื่อไม่ต้องการแล้วก็อย่าพึงแยกออกเลย     พึงยกเอาแต่ที่หนาที่มากนั้นขึ้น   มนสิการกำหนดว่า     สิ่งนี้เป็นดินเท่านั้นเถิด    แต่สีนั้นโยคาพจรจะละเสียมิได้เพราะเหตุว่าสีกับดวงนั้นเนื่องกัน      ดูดวงกสิณเป็นอันดูสี    เหตุฉะนี้พระโยคาพจรจึงรวบรวมดวงกับสีนั้นเข้าด้วยกัน   เบิกจักษุเล็งแลดูดวงแลสีนั้นหร้อมกันแล้ว      จึงตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรม    กำหนดว่าสิ่งนี้เป็นดิน    แล้วจึงบริกรรมว่า        ปฐวี   ปฐวี     ร้อยครั้งพันครั้งบริกรรมไปกว่าจะได้สำเร็จ   อุคคหนิมิต      
   ดินนี้จะเรียกมคธภาษาว่าปฐวีแต่เท่านี้หามิได้   นามบัญญัติแห่งดินนั้นมีมาก      ชื่อว่ามหิ    ชื่อว่าเมธนี   ชื่อว่าภูมิ    ชื่อว่าพสุธา    ชื่อว่าพสุนทรา    แต่ทว่า   ชื่อทั้งนี้ไม่ปรากฏแจ้งในโลกเหมือนชื่อปฐวี   ๆ    นี้ปรากฏแจ้งในโลก    เหตุฉะนี้พระโยคพจรจึงยกเอาชื่อที่ปรากฏ   คือปฐวีมากระทำบริกรรมเถิด     กาลเมื่อเล็งแลดูดวงกสิณแลบริกรรมว่า     ปฐวี   ปฐวี   นั้น   อย่าลืมอยู่เป็นนิตย์    ลืมดูอยู่สักหน่อยแล้วพึงหลับลงเล่าหลับลงอยู่สักหน่อยหนึ่งแล้ว   พึงอย่าลืมขึ้นเล่า     ปฏิบัติดังนี้ไปกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิตแลกสิณนิมิต      อันเป็นที่ตั้งจิตเป็นที่น้าวหน่วง   จิตแห่งพระโยคาวจรในกาลเมื่อจำเริญกรรมนั้น    ได้ชื่อว่าบริกรรมนิมิตกิริยาที่จะจำเริญบริกรรมว่า       ปฐวี   ปฐวี     นั้นได้ชื่อว่ากรรมภาวนา  
    เมื่อพระโยคาพจรเจ้า    ตั้งจิตไว้ในกสิณนิมิตบริกรรมว่า      ปฐวี   ปฐวี     นั้นถ้ากสิณนิมิตมาปรากฏในมโนวารหลับจักษุ    แลเห็นกสิณมณฑลนั้นเปรียบประดุจเห็นด้วยจักษุแล้วกาลใด     ก็ได้ชื่อว่าอุคคหนิมิตมาปรากฏแจ้งในสันดาน    ได้ชื่อว่าสำเร็จกิจแห่งอุคคนิมิตในกาลนั้น    เมื่อได้อุคคนิมิตในกาลนั้นอย่านั่งอยู่ที่นั้นเลย    กลับมานั่งในที่ตนตามสบายเถิด  ฯ
   อนึ่ง   ให้พระโยพจรหารองเท้าชั้นเดียวไว้สักครู่หนึ่ง     ไม้ธารกรสักอันหนึ่ง      กาลเมื่อสมาธิอ่อน   ๆ    ปราศจากสันดานด้วยเหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันมิได้เป็นที่สบายแลอุคคหนิมิตอันตรธานหายไปนั้น    จะได้ใส่รองเท้าถือไม้ธารกรนั้น   ไปพิจารณาดวงกสิณเหมือนอย่างเคยกระทำในบุพพภาค     ครั้นไม่มีรองเท้าใส่    ก็ต้องขวนขวายไปชำระเท้าจะป่วยการ   เหตุฉะนี้จึงให้หารองเท้าไว้ใส่สำหรับจะได้กันกิริยาที่ป่วยการ    ชำระเท้าหาไม้ธารกรไว้สำหรับจะได้กันอันตราย     
   เมื่อพิจารณาดวงกสิณเหมือนอย่างที่เคยกระทำในบุพพภาค   ได้อุคคนิมิตกลับคืนมาเหมือนอย่างแต่ก่อน    ก็พึงกลับสู่อาวาสมานั่งในที่อยู่แห่งตนให้เป็นสุขเถิด   พึงเอาวิตกนั้นเป็นผู้คร่าจิตยกจิตเข้าไว้ในอุคคนิมิต     กำหนดกฏหมายจงเนือง   ๆ       ดำริตริตรึกอยู่ในอุคคหนิมิตนั้นให้มากโดยพิเศษ    เมื่อปฏิบัติดังนี้ก็จะข่มขี่นิวรณธรรมลงได้โดยลำดับ  ๆ    กิเลสก็จะระงับสงบสงัดจากสันดาน     สมาธิก็กล้าหาญดำเนินขึ้นภูมิ      พระอุปจารสมาธิ     ปฏิภาคนิมิตก็จะบังเกิด    แลอุคคนิมิตกับปฏภาคนิมิตจะแปลกกันประการใด     มีข้อวิสัชนาว่า    อุคคหนิมิต    ยังกอปรไปด้วยกสิณโทษ     คือเห็นปรากฏเป็นสีดิน     ดินอย่างไรก็ปรากฏอย่างนั้น    แลปฏินิมิตนั้นปรากฏประดุจปริมณฑลแห่งแว่นอันบุคคลถอดออกจากฝัก    
    ถ้ามิดังนั้นเปรียบประดุจโภชนะสังข์     อันบุคคลชำระเป็นอันดี    ถ้ามิดังนั้นเปรียบประดุจมณฑลพระจันทร์แย้มออกจากกลีบพลาหก      ถ้ามิดังนั้นเปรียบด้วยเวลาหกที่หน้าเมฆอันผ่องยิ่งในหมู่เมฆทั้งหลาย    ถ้าจะว่าโดยแท้ว่าโดยอรรถอันสุขุมภาพนั้นปฏิภาคนิมิตนี้จะว่ามีสีพรรณก็ว่าไม่ได้    จะว่ามีสัณฐานประมาณใหญ่น้อยก็ว่าไม่ได้     เหตุว่า    ธรรมชาติอันมีสัณฐานนั้นเข้าในรูปธรรม   ๆ   บุคคลทั้งหลายพึงเห็นด้วยจักษุประสาท    จะพึงรู้จัก      จักษุวิญญานธรรมชาติอันมีสัณฐานนี้     ได้ชื่อว่าโอฬาริกรูป      เป็นรูปอย่างหยาบ   ได้ชื่อว่าสัมมสนูปครูอันควรจะพิจารณากอปรด้วยไตรพิธลักษณะทั้ง   ๓    คือ        อุปาทะ       ฐิติ      ภังคะ     ครอบงำย่ำยีอยู่เป็นนิจกาล   เพราะเหตุที่นับในรูปธรรม    
   อันปฏิภาคนิมิตไม่เป็นดังนั้น     ปฏิภาคนิมิตนี้     บุคคลทั้งหลายบ่มิพึงเห็นด้วยจักษุประสาท    บ่มิพึงรู้ด้วยจักษุวิญญาณประสาท   บ่มิพึงรู้ด้วยจักษุวิญญาณ     ไตรพิธลักษณะทั้ง     ๓   มี   อุปาทะเป็นอาทิ    ก็บ่มิได้ครอบงำย่ำยีปฏิภาคนิมิต    ๆ   นี้    เฉพาะปรากฏแก่พระโยคาพจรอันได้สมาธิจิต     เฉพาะปรากฏแต่ในมโนทวารวิถีปฏิภาคนิมิตนี้บังเกิดแก่ภาวนาสัญญา    จะได้นับเข้าในรูปธรรมหามิได้อาศัยเหตุฉะนี้
   เมื่อสำแดงโดยอรรถสุขุมภาพเอาที่เที่ยงแท้ออกสำแดงนั้นปฏิภาคนิมิตนี้จะว่ามีสีก็ว่ามิได้     จะว่ามีสัณฐานก็ว่ามิได้    จะว่าได้เป็นแต่เปรียบเทียบแต่เทียบว่าเหมือนด้วยสิ่งนั้น  ๆ   ควรจะว่าได้แต่เพียงนี้   จำเดิมแต่ปฎิภาคนิมิตบังเกิดแล้ว   นิวรณธรรมทั้งปวงมีกามฉันทนิวรณ์เป็นต้นนั้น   ก็ได้ชื่อว่าพระโยคาพจรข่มเสียได้โดยแท้    กิเลสธรรมทั้งปวงก็ได้ชื่อว่าสงบสงัดแท้    จิตนั้นก็ได้ชื่อว่าตั้งมั่น      เป็นอุปจารสมาธิแท้ได้ชื่อว่าสำเร็จกิจกามาพจรสมาธิภาวนาแต่เพียงนั้น    แลปฏิภาคนิมิต     
   อันพระโยคาพจรได้พร้อมด้วยอุปารสมาธิภาวนานั้น   มิใช่ว่าได้ด้วยง่ายได้ยากยิ่งนัก   เหตุฉะนี้เมื่อปฎิภาคนิมิตบังเกิดแล้ว     ให้พระโยคาวจรมีเพียรจำเริญภาวนาภิยโยภาคครั้งเดียวนั้นอย่าคลายบัลลังก์เลย    อันอุตสาหะถึงอัปปนาได้ด้วยบัลลังก์อันเดียวนั้น    เป็นสุนทรสิริสวัสดิ์สถาพรยิ่งนัก      ถ้ามิอาจเพียรให้ดำเนินขึ้นถึงภูมิพระอัปปนา     ได้ก็ให้พระโยคาพจรมีสติอย่าได้ประมาท     พึงอุตสาหะปฏิบัติในรักขนาพิธีพิทักษ์รักษาปฏิภาคนิมิตนั้นเปรียบประดุจ    รักษาทารกในครรภ์ที่มีบุญจะได้เป็นบรมจักร   แลรักขนาพิธีจะรักษาปฎิภาคนิมิตนั้น    
   พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าวิสัชนาว่า    พระโยคาพจรผู้จะรักษาปฏิภาคนิมิตนั้นให้เว้นเสียซึ่งเหตุอันมิได้เป็นที่สบาย   ๗   ประการ    คืออาวาสอันมิได้เป็นที่สบายประการ   ๑        โคจรคามอันมิได้เป็นที่สบายประการ   ๑       ติรัจฉานกถาประการ   ๑        บุคคลอันมิได้เป็นที่สบายประการ  ๑     โภชนะมิได้เป็นที่สบายประการ   ๑     ฤดูมิได้เป็นที่สบายประการ    ๑        อิริยาบถอันมิได้เป็นที่สบายประการ   ๑      สิริเป็นเหตุอันมิได้เป็นที่สบาย    ๗      ประการด้วยกัน    
  อาวาสมิได้เป็นที่สบายนั้น   พระโยคาพจรจะพึงรู้ด้วยสามารถกำหนดจิต   อาวาสอันใดพระโยคาพจรไปอาศัยบำเพ็ญภาวนาอยู่ถึง  ๓   วัน   แล้วจิตไม่ตั้งมั่นลงได้เลย     สตินั้นลอยมืดมนไปไม่พบไม่ปะอุคคหะแลปฏิภาคนิมิตที่เคยบังเกิดแต่ก่อนนั้น     ก็สาบสูญไปไม่มีวี่แวว    จิตที่เคยตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น     สติที่เคยแน่นอนแต่ก่อนนั้นก็ลอยไปไม่เหมือนแต่ก่อน    อาวาสอย่างนี้แลได้ชื่อว่าอาวาสมิได้สบายแลโคจรคามมิได้สบายนั้น  คือบ้านที่พระโยคาพจรไปอาศัยบิณฑบาตนั้น       มิได้อยู่ในทิศอุดร   มิได้อยู่ในทิศทักษิณ     ถ้าบ้านนั้นอยู่ข้างทิศตะวันตก    
   เมื่อไปบิณฑบาตแล้วแลกลับมาสู่อาวาสนั้นแสงพระอาทิตย์ส่องหน้า    ถ้ามิดังนั้นบ้านอยู่ข้างทิศตะวันออก     เมื่อเวลาออกจากอาวาสไปเพื่อจะบิณฑบาตนั้น      แสงพระอาทิตย์ส่องหน้าบ้านนั้นอยู่ไกลกว่า   ๓    พันชั่วธนู     อยู่ไกลกว่า    ๑๕๐   เส้น    ข้าวแพงบิณฑบาตได้ด้วยยาก     โคจรคามอย่างนี้แลได้ชื่อว่าโคจรคามมิได้สบาย