เข้าไปในที่สงัดอยู่แต่ผู้เดียวแล้วพึงพิจารณากวฬิงการาหารด้วยอาการปฏิกูล    ๑๐   ประการ  คมนโต    คือปฏกูลในกิริยาที่เดินไปนั้นประการ  ๑  ปริเยสนโต    คือปฏิกูลในกิริยาอันแสวงหานั้นประการ   ๑ ปริโภคโต  คือปฏิกูลในกิริยาที่บริโภคนั้นประการ   ๑  อาสยโต  คือปฏิกูลในประเทศที่อยู่แห่งอาหารนั้นประการ   ๑   นิธานโต  คือปฏิกูลด้วยกิริยาอันสั่งสมอยู่นานนั้นประการ   ๑    อปริปกฺกโต  คือปฏิกูลในกาลเมื่อยังมิได้ย่อยประการ  ๑  ปริปกฺกฌค  คือปฏิกูลในกาลเมื่อย่อยออกแล้วประการ  ๑  ผลโต  คือปฏิกูลโดยผลประการ  ๑  นิสสนฺทโต คือปฏิกูลในกาลเมื่อไหลหลั่งออกมานั้นประการ  ๑  สมฺมกฺขนฺโต   คือปฏิกูลด้วยกิริยาที่กระทำให้แปดเปื้อนนั้นประการ   ๑    เป็น    ๑๐   ประการด้วยกัน 
    กถํ   คมนโต   ข้อซึ่งให้พิจารณาปฏิกูลในกิริยาที่เดินไปนั้น   จะให้พิจารณาเป็นประการใด   วิสัชนาว่า   ให้พระโยคาพจรกุลบุตรปลงปัญญาให้เห็นธรรมสังเวชว่า  มหานุภาเวน   นาม   สาสเน อาตมานี้   เป็นบรรพชิตบวชในพระบวรพุทธศาสนาแห่งสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าอันมากด้วยพระเดชพระคุณมาก    ด้วยศักดานุภาพล้ำเลิศประเสริฐ    หาผู้จะเปรียบปานบ่มิได้ พุทฺธวจนสชฺฌายํ   วา  อาตมานี้     บางคาบก็สังวัธยายพระพุทธวจนะอันเป็นพระไตรปิฏกสิ้นราตรียังรุ่ง   บางคาบก็บำเพ็ญสมณธรรมจำเริญพระสมถกัมมัฏฐาน   พระวิปัสสนากัมมัฏฐานตราบเท่าถึงเพลาพระสุริยอุทัยส่องแสงทิพากร 
    กาลสฺเสววุฏฐาย เพลาเช้าลุกขากอาสน์แล้ว   อาตมานี้ก็ไปสู่ลานพระเจดีย์   พระศรีมหาโพธิ์    กระทำวัตตปฏิบัติกวาดเสร็จแล้ว   อาตมาก็ตั้งไว้ซึ่งน้ำใช้และน้ำฉัน    กวาดแผ้วอาวาสบริเวณที่อยู่แห่งตนแล้วก็ขึ้นสู่อาสนะกระทำมนสิการระลึกพระกัมมัฏฐาน    ๒๐   คนบ้าง   ๓๐    คนบ้าง    โดยอันสมควรแก่อัธยาศัย   เสนาสนะที่กระทำเพียรแห่งอาตมานี้กอปรด้วยร่มไม้และสระน้ำ    จะอาบจะฉันเป็นผาสุกภาพบ่มิได้ขัดเคืองด้วยอุทกังไม่มีมนุษย์หญิงชายละเล้าละลุ่ม     สงบสงัดปราศจากโทษ   สมควรที่จะบังเกิดวิเวกสุขเสนาสนะอันเป็นที่สนุกบรมสุขถึงเพียงนี้     ควรแลหรืออาตมาสละละเมิดเสียได้   ไม่เอื้อเฟื้ออาลัยฌานาทิวิเวกเอาบาตรและจีวรบ่ายหน้าเฉพาะบ้านไปเพื่อประโยชน์ด้วยอาหาร   เปรียบต่อสุนัขจิ้งจอกอันบ่ายหน้าสู่ป่าช้า    เพื่อประโยชน์จะกินกเฬวระซากอสุภะ     ควรจะอนิจจังสังเวชนี้หนักหนา   
 จำเดิมแต่อาตมาเฉพาะหน้าสู่บ้านและย่างเท้าลงจากเตียง    และตั้งเหยียบเหนือบรรจถรณ์เครื่องลาดนั้น    เท้าแห่งอาตมาก็จะแปดเปื้อนผลคุลีละอองเถ้าแปดเปื้อนไปด้วยมูตรและคูถแสลงสาบเป็นอาทิ    เหม็นร้ายเหม็นกาจจำเดิมแต่ย่างบาทจากห้องในดำเนินออกไปถึงหน้ามุขกุฏินั้น   เท้าแห่งอาตมาก็แปดเปื้อนด้วยลามก   เป็นต้นว่าขี้นกขี้ค้างคาว   ปฏิกูลยิ่งขึ้นไปกว่าภายในห้องนั้นเป็น  ๒   เท่า   ๓   เท่า  
  ตโต   เหฏิมตลํ   เมื่อออกจากหน้ามุขแล้วและลงไปถึงพื้นเบื้องต่ำ   เท้าแห่งอาตมาก็แปดเปื้อนไปด้วยลามก     เป็นต้นว่าขี้นกเค้าและขี้นกพิราบ    โสโครกยิ่งขึ้นไปกว่าหน้ามุขนั้นเป็น   ๒   เท่า   ๓   เท่าอีกเล่า   ยิ่งลงจากพื้นเบื้องต่ำแล้ว   และดำเนินออกไปถึงบริเวณจังหวัดอาวาสกุฎินั้น    ก็ยิ่งโสโครกปฏิกูลและพึงเกลียดโดยพิเศษมากขึ้นไปกว่าพื้นเบื้องต่ำนั้นหลายส่วนหลายเท่าในจังหวัดบริเวณนั้น    โสโครกไปด้วยหยากเยื่อเชื้อฝอย    ใบไม้เก่า  ๆ   อันลมพายุพัดให้ตกเรี่ยรายกระจายอยู่ในสถานที่ที่นั้น   ๆ   เดียรดาษกลาดเกลื่อน    ไหนจะโสโครกด้วยมูตรและคูภเสมหะและเขฬะ   อันภิกษุหนุ่มและสามเณรที่เป็นไข้ไปมิทันถ่ายลงไว้ถ่มลงไว้นั้นเล่าเหม็นเน่าเหม็นโขง     น่ารังเกียจเกลียดอายหนักหนา 
   วสฺสกาเล  เมื่อเทศกาลวัสสันตฤดูฝนตกหนักนั้น   ก็เป็นเปือกเป็นตมต้องเหยียบต้องย่ำ     เป็นทั้งนี้ก็เพราะอาศัยมีประโยชน์ด้วยอาหารนั้นเป็นเดิมอดอยู่มิได้   ต้องลุยไปในน้ำเน่าและอสุจิลามกน่าสมเพชเวทนา  ปฏิกุลตรา   วิหารรจฺฉา ยิ่งออกไปถึงซอยตรอกวิหารนั้น    ก็ยิ่งปฏิกูลลามากขึ้นไปกว่านั้นเป็นส่วนหลายเท่า   เมื่ออาตมาดำเนินไปโดยลำดับยกมือขึ้นนมัสการพระเจดีย์พระศรีมหาโพธ์แล้ว    อาตมาก็เข้าไปยืนในโรงวิตกลามกอันเป็นโรคสำหรับพระภิกษุถือบิณฑบาตสันโดษไปยืนวิตกว่า   วันนี้อาตมาจะไปบิณฑบาตในบ้านนั้นสกุลนั้น    ธรรมดาพระภิกษุผู้ถือบิณฑบาตสันโดษนั้นย่อมเฉพาะวิตกที่บิณฑบาต    แต่ในขณะเมื่อยืนอยู่ในโรงวิตกเพลาเดียว   นอกกว่านั้นก็ตั้งหน้าเฉพาะต่อพระกัมมัฏฐาน     วิตกอยู่แต่ในพระกัมมัฏฐานจะได้วิตกอยู่ด้วยบิณฑบาตในเพลาอื่น   ๆ    นอกจากเพลาที่ยืนอยู่ในโรงวิตกนั้นหาบ่มิได้อาศัยเหตุฉะนี้   พระภิกษุผู้พิจารณาอาหารปฏิกูลนั้น    พึงปลงธรรมสังเวชพิจารณาว่า    เมื่ออาตมาเข้าไปยืนอยู่ในโรงวิตก   ๆ    ถึงบ้านสกุลที่จะไปบิณฑบาตนั้นแล      อาตมาก็บ่ายหน้าออกจากวิหารละเสียซึ่งพระเจดีย์อันงามประดุจกองแก้วมุกดา    ละเสียซึ่งไม้พระศรีมหาโพธิ์อันงามประดุจกำแห่งนกยูง    ละเสียซึ่งเสนาสนะอันบริบูรณ์ด้วยสิริประดุจทิพยพิมาน    ให้หลงแก่ประเทศที่รโหฐานสนุกสบายจะอยู่มิได้     จำเป็นจำไปเพราะเหตุมีประโยชน์ด้วยอาหาร
   คามมคฺคํ    ปฏิปนฺเนน กาลเมื่อดำเนินไปในมรรคาอันจะเข้าไปสู่บ้าน    บางคาบก็เหยียบเสี้ยนเหยียบหนาม    บางคาบก็สะดุดตอไม้และหัวระแหง      บางคาบก็เหยียบย่ำประเทศอันมีน้ำเป็นตมเป็นเปือก      บางคาบก็ข้ามประเทศอันน้ำเซาะหักพังลง    ลุ่ม  ๆ   ดอน  ๆ    ไม่ควรที่จะไปก็จะไปก็ไปได้     น่าสังเวชเวทนา   ถึงกายอาตมานี้ก็โสโครกกายนี้เหมือนดังร่างอัฐิ      สบงที่นุ่งนี้เหมือนผ้าปิด     ฝีแผล    รัดประคตพันสะเอวนี้เหมือนท่องผ้าพันแผลฝี     จีวรที่ห่มนี้เหมือนผ้าที่ปกคลุมร่างอัฐิ     บาตรที่ถือมาเพื่อจะบิณฑบาตนี้   เหมือนกระเบื้องสำหรับจะได้ใส่ยารักษาฝี     ยิ่งพิจารณาให้ละเอียดก็ยิ่งพึงเหลียดพึงชังนี่นักหนา คามทฺวารสฺมึปิ    ปาปุณนฺเตน   กาลเมื่ออาตมาไปถึงที่ใกล้ปนะตูบ้าน     อาตมาก็ได้เห็นซากช้างซากม้าซากโคซากกระบือซากงูซากสุนัขซากมนุษย์    ทอดทิ้งกลิ้งอยู่เหม็นขื่นเหม็น     อาเกียรณ์ไปด้วยแมลงวันและหมู่หนอนสุนัขเร้งกายื้อคร่าจิกสับเหม็นจับจมูกจับใจ     แทบประหนึ่งว่าจะท้นจะราก    ถึงนั้นก็ยอมอดกลั้นจำทนจำทาน    เพราะเหตุจะใคร่ได้อาหารไปเลี้ยงชีวิต
  คามทฺวาเร   ตฺวา    กาลเมื่อไปถึงประตูบ้านยืนอยู่แทบประตูบ้านนั้น    ใคร่จะตรงเข้าไปบ้านได้ง่าย   ๆ    เมื่อไรต้องดูซ้ายดูขวา      แลดูตรอกบ้านข้างโน้นข้างนี้เพื่อว่าช้างร้ายม้าร้ายมันอยู่ในตรอกนั้น   เห็นแล้วจะได้หลีกจะได้เลี่ยงจะได้หลบได้หนีเสียแต่ห่าง  ๆ  ตกว่าต้องระวังเนื้อระวังตัวนี้ทุกแห่งทุกตำบล    กว่าจะไปได้ถึงที่ภิกษาจารนี้ลำบากยากนักหนา   อาการอันพิจารณากิริยาที่ตนลำบากเป็นด้วยเหตุด้วยอาการจำเดิมแต่ย่างเท้าลงจากเตียงตราบเท่าถึงประตูบ้านที่เที่ยวภิกขาจารนี้    ได้ชื่อว่าพิจารณาอาหารอาหารปฏิกูลในกิริยาที่เดินไป    เพื่อประโยชน์ด้วยอาหาร  กถํ    ปริเยสนโต แลข้อซึ่งว่าให้พิจารณาอาหารปฏิกูล    ในกิริยาที่เที่ยวแสวงหาอาหารนั้นจะให้พิจารณาเป็นประการใด    วิสัชนาว่า   ให้พระโยคาพจรปลงปัญญาให้เห็นธรรมสังเวชว่า    เมื่ออาตมาอดกลั้นทนทานที่เหม็น    จำเดิมแต่แรกลงจากเตียงดำเนินไปตราบเท่าถึงประตูบ้านที่ภิกขาจารนั้นแล้ว  คามํ    ปวิฏเน   สงฺฆาฏิ    ปารุปิเตน ในกาลเมื่อเข้าไปในบ้านนั้นอาตมาจะห่มผ้าอันตัดเป็นขันฑ์ผ้าห่มของอาตมานี้ฉีกตัดเป็นบั่น   ๆ   ท่อน  ๆ  และเย็บติด  ๆ   กัน    ได้นามบัญญัติชื่อว่าผ้าสังฆาฏิ 
  กปณเมนุสฺเสน   วิย   เมื่อพิจารณาดูกายแห่งอาตมานี้      เหมือนคนกำพร้าจริง  ๆ  ดูผ้าห่มแห่งอาตมานี้เล่าก็เหมือนผ้าห่มคนกำพร้า    ดูบาตรนี้เล่าก็เหมือนกระเบื้องเก่าที่คนกำพร้าถือเที่ยวภิกขาจาร    อาการที่อาตมาเที่ยวไปในคามวิถีบ้านโดยลำดับ  ๆ   แห่งตระกูลนั้น     จะได้แปลกกันกับอาการที่คนกำพร้าเที่ยวขอทานหาบ่มิได้  วสฺสกาเล  กาลเมื่อถึงวัสสันตฤดูฝนตกหนักเหยียบลงที่ไหนเป็นโคลนที่นั่น   น้ำตมนั้นกระเด็นขึ้นเปื้อนแข้งขาผ้านุ่งผ้าห่ม   ต้องหยิบชายจีวรขึ้นไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง      มือข้างหนึ่งนั้นถือบาตรลำบากยากกายนักหนาถึงเพียงนี้อาตมายังอุตสาหะไปเที่ยวได้   เป็นเหตุด้วยอาหาร   คิมฺหกาเล  เมื่อถึงเทศกาลฤดูร้อนนั้นเล่าตัวอาตมานี้อาเกียรณ์ไปด้วยผงธุลี    ละอองธุลี   ๆ  นั้นปลิวจับศีรษะตราบเท่าถึงบาทาลมพัดผ่านฟุ้งเข้าหูเข้าตา   ผ้านุ่งผ้าห่มนี้เต็มไปด้วยผงคุลีน่าสังเวชเวทนา
  ตํ  ตํ   เคหทฺวารํ   ปตฺวา  เมื่อไปถึงประตูเรือนนั้น    บางคาบก็ยืนเหยียบในประเทศที่เทน้ำซาวข้าว   บางคาบก็ไปยืนในประเทศอันเปื้อนไปด้วยน้ำมูกน้ำลาย   เปื้อนไปด้วยคูถสุนัข  คูถสุกร   บางคาบก็ไปยืนในที่น้ำครำ    อันอาเกียรณ์ไปด้วยแมลงวันดำ   แมลงวันเขียวแมลงวันทั้งหลายบินจับศีรษะจับผ้าจับบาตร  เกจิ   เทนฺติ   เกจิ   น    เทนฺติ  เจ้าของเรือนนั้นครั้นเห็นอาตมาไปยืนบิณฑบาต     บางคนก็กระทำทาน    บางคนก็ไม่ทำทาน   บางทีก็ให้     บางทีก็ไม่ให้    กาลเมื่อให้นั้นบางคนก็ให้ข้าวสุกแรมคืนบูด    ๆ   แฉะ  ๆ    บางคนก็ให้ของกัดที่เก่า  ๆ  รา  ๆ   บางคนก็ให้ขนมบูดแกงบูดผักบูด  อทฺทมานา  กาลเมื่อหาศรัทธาบ่มิได้ไม่ทำทานแล้ว   บางคนก็บอกว่าไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด     บางคนก็เพิกเฉยนิ่งเสีย   กระทำอย่างประหนึ่งว่าหาเห็นไม่       บางทีเห็นแล้วเมินเสียไม่มองดูหน้า    บางคนก็กล่าวหยาบช้าว่า  คจฺฉ     เรมุณฺฑก ดูกรคนศีรษะโกนโล้นร้ายไปเสียให้พ้นอย่ามายืนกีดขวางอยู่ที่นี่ตกว่าต้องทนสู้ทาน   จำเดิมแต่เข้าสู่ประตูบ้านมาตราบเท่าจนออกจากบ้านทั้งนี้ก็มีประโยชน์ด้วยอาหาร
    คมนโต นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่า    อาการที่พระโยคาพจร    ปลงธรรมสังเวชพิจารณากิริยาที่ตนลำบากเป็นเหตุด้วยอาหาร     จำเดิมแต่ย่างเข้าประตูบ้านไปตราบเท่าถึงออกจากบ้าน    นี่แลได้ชื่อว่พิจารณาปฏิกูลในกิริยาที่เที่ยวแสวงหา  กถํ   ปริโภคโต แลข้อซึ่งว่าให้พระโยคาพจรปลงปัญญาพิจารณาอาหารปฏิกูล    ในกิริยาที่ปริโภคนั้น   จะให้พิจารณาเป็นประการใด   วิสัชนาว่า   ให้พระโยคาพจรปลงปัญหาให้เห็นธรรมสังเวชว่า    เมื่ออาตมาเที่ยวแสวงหาอาหารโดยอาการปฏิกูลดุจพรรณนานั้น    ได้จังหันพอเป็นยาปนมัตต์
ออกจากบ้านไปนั่งในประเทศอันเป็นสุขภายนอกบ้านนั้นแล้วถ้าอาตมายังบ่มิได้ลงมือฉันจังหันนั้นตัวยังมิได้จับได้ต้อง   เห็นมนุษย์ที่เป็นอาคันตุกะเดินมา   เห็นภิกษุที่ควรจะเป็นครูอาจารย์เดินมา   และจะเรียกหาจะเชิญให้บริโภคจะนิมนต์ให้ฉันนั้นก็ยังสมควรอยู่เพราะเหตุว่า   จังหันนั้นยังมิได้จับได้ต้อง    ยังไม่เป็นอาหารปฏิกูลไปก่อน    ถ้าได้ลงมือฉันอยู่แล้วได้จับได้ต้องแล้ว   และจะนิมนต์ท่านผู้เป็นอาคันตุกะให้ฉันนั้นยังเป็นที่ละอายอยู่หาสมควรไม่    เหตุว่าจังหันที่ได้ลงมือฉัน      ได้จับต้องแล้วนั้นเป็นอาหารปฏิกูล    กาลเมื่ออาตมาลงมือฉัน  แลปั้นอาหารเข้าเป็นก้อน  ๆ   เป็นคำ   ๆ   กระทำให้เสียพรรณ    ปราศจากงามเห็นปานดังนั้น      
   เมื่ออาตมาหยิบเอามาวางลงในปาก    กระทำฟันเบื้องบนเป็นสาก    กระทำฟันเบื้องต่ำเป็นครก   กระทำลิ้นเป็นมือ   กระหวัดกลับกลอกคำข้าวให้แหลกกออกด้วยครกแลสากคือฟันเบื้องบนเบื้องต่ำนั้น      เมื่อพิจารณาให้ละเอียด    น่าพึงเกลียดพึงชัง    น่าอนิจจังสังเวชนี่นักหนา    อาหารนั้น    แต่พอตกถึงปลายลิ้นที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายอันเหลวเข้าไปถึงกลางลิ้นก็นุ่มไปด้วยน้ำลายอันข้น   มลทินอันติดอยู่ในทันตประเทศที่ไม้สีฟันสีไปถึงนั้นก็ติดฟันแปดเปื้อน     กระทำให้อาหารนั้นเสียกลิ่นสีในขณะบัดเดี๋ยวใจ   มาตรแม้ว่าเป็นอาหารประณีตกอปรด้วยเครื่องปรุงอันพิเศษเป็นประการใด   ๆ   ก็ดี     ที่จะได้คงสีคงกลิ่นคงดีอยู่เป็นปกตินั้นหาบ่มิได้   ปรมเชคุจฺฉภาวํ    อุปคจฺฉติ   อาหารนั้นถึงซึ่งภาวนาพึงเหลียดพึงชังประดุจรากสุนัขอันอยู่ในราง   อชฺโฌหริตพฺโพ   อาหารที่อยู่ในปากนี้   เราท่านทั้งปวงกล้ากลืนกินอยู่ได้นั้น   อาศัยไม่เห็นด้วยจักษุไม่ปรากฏแก่จักษุ     ถ้าปรากฏแก่จักษุแล้ว    แต่สักคำเดียวก็บ่มิอาจที่จะกลืนเข้าไปได้  เอวํ     ปริโภคโต   ปฏิกุลตา   ปจฺจเวกฺขิตพฺพา   พระโยคาพจรจึงปลงธรรมสังเวช    พิจารณาอาหารปฏิกูลในกิริยาที่บริโภคโดยนัยดังพรรณฉะนี้
    กถํ    อาสยโต   แลข้อซึ่งว่าให้พระโยคาพจรผู้มีปัญญา    พิจารณาปฏิกูลในประเทศที่อยู่แห่งอาหารนั้นจะให้พิจารณาเป็นประการใด    วิสัชนาว่าให้พระโยคาพจรปลงธรรมสังเวชพิจารณาว่า   อาหารที่อาตมาบริโภคกอปรด้วยอาการปฏิกูลแลเห็นปานฉะนี้   เมื่อเข้าไปตั้งอยู่ในกระเพาะอาหารภายในอุทรประเทศนั้น    ก็ยิ่งโสโครกยิ่งปฏิกูลมากขึ้นไปหลายส่วนหลายเท่า   ประเทศที่อาหารตั้งอยู่นั้นนามบัญญัติชื่อว่า  อาสยะ   ต่างกันโดยประเภท    ๔  ประการ   คือ  ปิตตาสยะประการ  ๑    เสมหาสยะประการ  ๑    บุพพาสยะประการ  ๑   โลหิตสยะประการ  ๑   เป็น   ๔   ประการด้วยกันดังนี้     ที่อยู่แห่งอาการได้ชื่อว่าปิตตาสยะนั้นด้วยอรรถว่าเป็นที่ขังอยู่แห่งน้ำดี    ได้ชื่อว่าเสมหาสยะนั้นด้วยอรรถว่าเป็นที่ขังอยู่แห่งน้ำหนองได้ชื่อว่าบุพพสายะนั้น    
   ด้วยอรรถว่าเป็นที่ขังอยู่แห่งโลหิตน้ำเลือดน้ำหนอง      น้ำดีน้ำเสมหะนี้อย่าว่าแต่เราท่านที่เป็นสามัญ    บุคคลนี้เลยสำมะหาแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าประปัจเจกพุทธโพธิ์     บรมจักรพัตราธิราช   ยังมีอาสนะอยู่สิ่ง   ๑   ๆ    (มิดีก็เสมหะ   มิเสมหะก็บุพโพ    มิบุพโพก็โลหิต   จำมีอยู่สิ่ง    ๑  ๆ     ที่จะบริสุทธิ์ไปที่เดียวนั้นหาบ่มิได้    ที่อยู่แห่งอาหารของท่านผู้มีบุญที่เดียวยังว่าไม่บริสุทธิ์   ยังมีอาสยะอยู่สิ่ง   ๑   ๆ    ยังโสโครกอยู่ถึงเพียงนี้   ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนบุญน้อยนั้นเล่า   คนบุญน้อยนี้มีอาสยะพร้อมทั้ง  ๔    ประการ    ที่อยู่แห่งอาหารของคนบุญน้อยนี้     อากูลด้วยน้ำดีน้ำเสมหะน้ำบุพโพโลหิตพร้อมทั้ง  ๔   ประการ   แต่ทว่าบางคาบนั้นน้ำดีมากกว่าเสมหะแลบุพโพโลหิต    บางคาบเสมหะมากกว่าน้ำดีแลบุพโพโลหิต   บางทีบุพโพมาก     บางทีโลหิตมาก    ถ้าน้ำดีมากอาหารนั้นก็โสโครกพึงเกลียดยิ่งนัก    เปรียบดุจระคนด้วยน้ำมันมะซางอันข้น   ถ้าเสมหะนั้นมาก   อาหารนั้นก็พึงเกลียดโสโครกพึงเกลียดเปรียบประดุจระคนด้วยน้ำกากะทิงแลน้ำใบแตงหนู    ถ้าบุพโพนั้นมากอาหารนั้นก็โสโครกพึงเกลียด     เปรียบดุจระคนด้วยน้ำเปรียงบูดเปรียงเน่า     ถ้าโลหิตนั้นมากอาหารนั้นก็โสโครกพึงเกลียด      เปรียบดุจระคนด้วยน้ำย้อม   พระโยคาพจรผู้มีปัญญาพึงปลงธรรมสังเวช    พิจารณาอาหารปฏิกูลในประเทศที่อยู่แห่งอาหารด้วยประการฉะนี้ 
    กถํ    นิธานโต ข้อซึ่งว่าให้พระโยคาพจรพิจารณาอาหารปฏิกูล   ด้วยกิริยาที่สั่งสมอยู่นานนั้น   จะให้พิจารณาประการใด    วิสัชนาว่าให้พระโยคาพจรพิจารณาว่า  อาสเยน   มกฺขิโต อาหารอันแปดเปื้อนไปด้วยน้ำดีน้ำเสมหะน้ำบุพโพโลหิตเป็นปานฉะนี้    เมื่อเข้าไปสู่อุทุรประเทศแล้วจะได้อยู่ในภาชนะเงิน   ภาชนะทอง   ภาชนะแก้ว   หาบ่มิได้       อาหารนั้นตั้งอยู่ในประเทศแห่งไส้ใหญ่นั้นเก่านั้นใหม่      ย่อมออกแล้วบ้างยังบ่มิได้ย่อยบ้าง     เหม็นเน่าเหม็นโขงสะสมอยู่        เปรียบประดุจคูถในเว็จกุฏีสะสมกันนั้นเก่านั้นใหม่     คูถในเว็จกุฏีนั้นสมสมอยู่ฉันใด     อาหารอันตั้งอยู่ภายในไส้ก็สะสมนักมีอุปไมยดังนั้น   แลอาการที่อาหารสะสมกันนั้น   นักปราชญ์พึงกำหนดด้วยอายุบุคคล    ถ้าบุคคลอายุได้   ๑๐    ปี     อาหารก็พึงเกลียดเปรียบดุจอยู่ในหลุมคูถอันมิใช่ชำระเลยนานถึง    ๑๐    ถ้าบุคคลนั้นอายุได้   ๒๐    ปี   ๓๐   ผี   ๔๐   ปี    อาหารก็พึงเกลียดเปรียบประดุจอยู่ในหลุมคูถอันมิได้ชำระนานถึง   ๒๐   ปี   ๓๐   ปี    ๔๐   ปี       ถ้าบุคคลนั้นอายุได้   ๕๐   ปี    ๖๐   ปี    ๗๐   ปี    ๘๐    ปี         อาหารนั้นก็พึงเกลียด    เปรียบดุจอยู่ในหลุมคูถอันบ่มิได้ชำระเลยนานถึง   ๕๐   ปี    ๖๐    ปี    ๘๐   ปี    ๙๐    ปี     ถ้าบุคคลนั้นอายุได้   ๑๐๐  ปี    อาหารก็พึงเกลียดประดุจอยู่ในหลุมคูถอันมิไดชำระเลยนานถึง    ๑๐๐     ปี    พระโยคาพจรพึงปลงธรามสังเวช     พิจารณาเอาหารปฏิกูลด้วยกิริยาที่สั่งสมอยู่นานโดยดังพรรณนามาฉะนี้
    กถํ   อปริปกฺกโต ข้อหนึ่งว่าให้พิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อยังมิได้ย่อยนั้น    จะให้พิจารณาเป็นประการใด    วิสัชนาว่าให้พระโยคาพจรพิจรณาว่า  โส    ปนายํ   อาหาโร   เอวรูเป    โอกาเส    นิธานมุปคโต อาหารนั้นเมื่อเข้าไปสั่งสมอยู่ในประเทศแห่งไส้ใหญ่อันเป็นที่โสโครกพึงเกลียดเห็นปานฉะนี้     อย่าว่าถึงเมื่อย่อยออกแล้วนั้นเลย    แต่ยังมิได้ย่อยนั้นก็พึงเกลียดพึงชังนี่นักหนา    เหตุว่าประเทศที่อยู่แห่งอาหารนั้นเป็นประเทศลามก       ถ้าจะว่าฝ่ายข้างมืดก็มืดนัก    ถ้าจะว่าข้างเหม็นหรือก็เหม็นนัก     ดุจหลุมอันคนจัณฑาลขุดไว้แทบประตูบ้าน    สารพัดจะสะสมสารพัดที่คนจัณฑาลทั้งปวงจะทิ้งจะเทลง   หญ้าก็ทิ้งลงไปไม้ก็ทิ้งไป   เสื่อลำแพนขาด   ๆ  ก็ทิ้งลง     ซากมนุษย์ก็ทิ้งลงชั้นเก่าชั้นใหม่เมื่อยามแล้งนั้นถ้าอกาลเมฆตั้งขึ้น       ยังฝนให้ตกลงสักห่า   ๑     แต่พอน้ำเต็มหลุมแล้วแลแล้งไป     น้ำในหลุมนั้นครั้นต้องแสงพระอาทิตย์ร้อนกล้าก็พัดขึ้นเป็นฟอง   ปูดขึ้นเป็นปุ่มเปือกมีสีอันเขียว   เหม็นร้ายเหม็นกาจอาเกียรณ์ด้วยหมู่มักขิกชาติ     แมลงวันดำแมลงวันเขียวตอมอยู่เป็นเกลียวคลาดอยู่คละคล่ำ     เป็นที่รังเกียจเกลียดหน่ายแห่งมหาชนทั้งปวง   ๆ   มิขอเห็นมิขอเข้าไปใกล้    อันนี้แลมีฉันใด    อาหารที่บุคคลทั้งปวงกินเข้าไปใหม่  ๆ  ยังมิทันที่จะยับจะย่อย   ยังมิทันที่จะเป็นอาหารเก่านั้น   ก็เกลือกกลั้วไปด้วยน้ำดีเสมหะน้ำบุพโพโลหิต   อากูลมูลมองไปด้วยซากอสุภต่าง  ๆ   เป็นต้นว่าเนื้อเน่าปลาเน่าปนปะสะสมเหม็นขื่นเหม็นขมกลุ้มกลบตลบอยู่ทุกเช้าค่ำอาเกียรณ์    ด้วยหมู่หนอนพลุกพล่านคลาดคล่ำสัญจรเสือกสนไป   ๆ   มา  ๆ   
  สพฺโพ    เอกโต    หุตฺวา   อาหารที่กินวันนี้ก็ดี    ที่กินวันก่อน   ๆ   ก็ดีสิ้นทั้งปวงนั้นจะได้อยู่เป็นแผนก   ๆ   กันหาบ่มิได้   เกลือกกลั้วแปดปนระคนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว   เสมฺหปฏลปริโยนทฺโธ ชั้นเสมหะนั้นเข้าปกคลุมหุ้มห่อเพลิงธาตุนั้นรุมร้อนระรมเผา    เดือดเป็นฟองฟอดปูดขึ้นเป็นปุ่มเปือก    โสโครกพึงเกลียดนักหนา   มีอุปไมยดุจหลุมแทบประตูบ้านจัณฑาล    อันเต็มไปด้วยอสุจิลามกแลเป็นที่โสโครกพึงเกลียดนั้น  เอวํ   ปริปกฺกโต    ปฏิกุลตา   เวทิตพฺโพ  พระโยคาพจรผู้มีปัญญาพึงพิจารณาอาหารปฏิกูล   ในกาลเมื่ออาหารยังมิได้ย่อย   โดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้   กถํ   ปริปกฺกโต ข้อซึ่งว่าให้พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อย่อยออกแล้วนั้น    จะให้พิจารณาประการใด    วิสัชนาว่า    ให้พระโยคาพจรปลงธรรมสังเวชพิจารณาว่า   กายคฺคินา   ปริปกฺโก   สมาโน อาหารอันร้อนด้วยเพลิงธาตุ   เดือดเป็นฟองแล้วย่อยออกประดุจบดด้วยศิลาบดนั้น    ที่จะเป็นคุณอันใดอันหนึ่งเปรียบประดุจแร่เหล็กแร่ทองแดงแร่ดีบุกแร่น้ำเงินแร่ธรรมชาติ    อันย่อยออกด้วยเพลิงแล้ว    แลได้เนื้อเหล็กเนื้อทองแดงเนื้อดีบุกเนื้อเงินเนื้อทองนั้นหาบ่มิได้    อาหารที่ย่อยออกนั้น   มีแต่จะเป็นเครื่องชั่วเครื่องเหม็นเครื่องลามก     เพราะลงไปในอโธภาคแล้ว    ส่วน   ๑   ที่แบ่งไปเป็นมูตรนั้นก็ยังกระเพาะมูตรให้เต็มส่วน   ๑   ที่แบ่งออกเป็นคูถนั้นลงไปอยู่ในที่สุดแห่งไส้ใหญ่ใต้นาภีแห่งเราท่านทั้งปวง   ประเทศที่อยู่แห่งอาหารเก่านั้น    มีสัณฐานดังกระบอกไม้ไผ่น้อย    ประมาณโดยยาว   ๘   องคุลี      อันบุคคลเอาดินเหลืองใส่ลงไว้ให้เต็ม    นี่หากว่าลับจักษุแลไม่เห็น    จึงเพิกเฉยสบายอยู่หาเกลียดหาหน่ายไม่   ถ้าปรากฏแก่จักษุเห็นด้วยจุกษุนี้   จะเป็นที่รังเกียจอายหนักหนาหาที่สุดมิได้   เอวํ   ปริปกฺกโต   ปฏิกุลตา     ปจฺจเวกฺ    ขิตพฺพา พระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีปัญญาพึงปลงธรรมสังเวช     พิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อย่อยออกแล้วโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้  
  กถํ    ผลโต  แลข้อซึ่งว่าให้พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยผลนั้น   จะให้พิจารณาเป็นประการใด    วิสัชนาว่า   ให้พระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีปัญญาปลงธรรมสังเวชพิจารณาว่า   สมฺมา   ปริปจมาโน อาหารนี้ถ้าย่อยออกเป็นอันดี      ก็ยังกุณปะโกฏฐาส   (ส่วนซากศพ)    เป็นต้นว่าเกศาแลโลมานขาทันตาเนื้อหนังแลเส้นสายทั้งปวง   ให้ชุ่มชื่นให้จะเริญเป็นอันดี   อสมฺมา   ปริจฺจมาโน อาหารนั้นถ้าย่อยออกมิดี     ก็ยังร้อยแห่งโรคเป็นต้นว่า      หิดด้านแลหิดเปื่อย     มะเร็งแลคุดทะราด    กลากแลเรื้อนมองคร่อ    แลหืดหวัดแลไอ     ลงใหญ่แลลงแดงให้บังเกิดได้ทุกขเวทนามีประการต่าง  ๆ  เพราะเหตุอาหารย่อยออกบ่มิดี   เอวํ   ผลโต    ปฏิกุลตา   ปจฺจเวกฺขิตพฺพา พระโยคาพจรผู้มีปัญญา    พึงพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยผลดุจนัยดังพรรณนามาฉะนี้ 
  กถํ     นิสฺสนฺทโต  ข้อซึ่งว่าให้พระโยคาพจรพิจารณาอาหารปฏิกูลในกาลเมื่อไหลหลั่งออกนั้น    ให้พิจารณาเป็นประการใด   วิสัชนาว่า   ให้พระโยคาพจรกุลบุตรพิจารณาว่า   อชฺโฌหริยมาโนเปส    เอเกน   ทฺวาเรน     ปวิสิตฺวา อาหารอันบุคคลกินนั้น    เมื่อเข้าไปนั้นไปโดยทวารอัน  ๑    เมื่อจะไหลออกนั้นไหลออกโดยทวารทั้ง   ๙   ที่เป็นมูลหูนั้น   ก็ไหลออกจากช่องหู   ที่เป็นมูลตาก็ไหลจากช่องคลองตา   ที่เป็นน้ำมูกน้ำลาย   ก็ไหลออกจากช่องปากช่องจมูก    ที่เป็นมูตรไหลออกจากทวารเบา   ที่เป็นคูถก็ไหลออกโดยทวารหนัก   อชฺโฌหรณสมเย กาลเมื่อจะกลืนกินนั้น   บุตรภรรยาพี่น้องมิตรสหายพวกพ้องล้อมกันเป็นพวก   ๆ   บริโภคเป็นเหล่า  ๆ    พร้อม   ๆ  กัน   พร้อมยศพร้อมบริวาร    นิสฺสนฺทสมเย   ปน  กาลเมื่อเป็นมูตรเป็นคูถแล้วแลไหลออกนั้น    มีความละอายเข้าเร้นเข้าซ่อนแต่ผู้เดียว   ลี้ลับแล้วจึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะ   ปมทิวเส    ปริภุญฺชนฺโต  ในวันเป็นปฐม    เมื่อบริโภคนั้น   ชื่นชมยินดีบริโภค  อุทคฺคุทคฺโค   มีกายจิตอันสูงขึ้น    บังเกิดปีติแลโสมนัส   นิสฺสทนฺโต ครั้นถึงกาลเมื่อจะไหลออก    เมื่อจะถ่ายออกในวันเป็นคำรบ   ๒   นั้น   ต้องปิดจมูกชักหน้านิ่ว    เกลียดหน่ายก้มหน้าต่ำตา  รตฺโต   คิทฺโธ     อิจฺฉิโต   มุญฺฉิโต  ในวันเป็นปฐมเมื่อเพลาบริโภคนั้น      มีความรักความปรารถนาในรสแห่งอาหารกำหนัดยินดี    อารมณ์อันฟูขึ้นหลงด้วยรสอาหาร  อชฺโฌหริตฺวา ครั้นกลืนกินแล้วแต่พอแรมคืนอยู่ราตรีเดียว    ย่างเข้าวันเป็นคำรบ   ๒    เมื่อจะไหลออกถ่ายออกโดยอุจจารมรรคแลปัสสาวมรรค    ก็มีความยินดีอันปราศจากอารมณ์เป็นทุกข์    ทั้งละอายทั้งเกลียดบังเกิดพร้อม   
  เหตุดังนั้นโบราณาจารย์จึงกล่าวซึ่งบาทพระคาถาว่า อนฺนํ   ปานํ   ขาทนียญฺจ    โภชนียญฺจ   มหารหํ   ฯลฯ   เอกรตฺตึ    ปริวาสา    สพฺพํ   ปภวติ   ปูติกนฺติ   อธิบายว่า   ข้าวแลน้ำของกัดแลของบริโภคสิ้นทั้งปวงนี้     มาตราแม้จะมีค่ามากเป็นประการใด  ๆ   ก็ดี   ในกาลเมื่อบริโภคนั้น   เข้าไปโดยทวารอันหนึ่งแล้ว    ถึงทีเมื่อจะไหลออกก็ไหลออกโดยทวารทั้ง  ๙   เหมือนกันสิ้น   จะได้แปลกกัน   หาบ่มิได้  ปสริวาโร กาลเมื่อบริโภคนั้นประกอบด้วยบริวารบริโภคพร้อม  ๆ   กัน    กาลเมื่อจะถ่ายออกนั้น   เข้าเร้นซ่อนลี้ลับในที่ปิดกำบัง    แต่ผู้เดียว  อภินนฺทนฺโต การเมื่อบริโภคนั้นชื่นชมโสมนัส    กาลเมื่อถ่ายออกนั้น    เกลียดหน่ายชิงชังข้าวแลน้ำของกัดแลของบริโภคทั้งปวงนี้   มาตรแม้นว่ามีค่ามากเป็นประการใด  ๆ    ก็ดี  เอกตรตฺตึ   ปริวาสา ถ้าล่วงราตรีแรมอยู่ราตรีหนึ่งแล้วก็บูดเน่าโสโครกพึงเกลียดชังนี่นักหนา    ผู้มีปัญญาพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยกิริยาที่ไหลออกดังพรรณามาฉะนี้
  กถํ   สมฺมกฺขนฺโต  แล้วข้อซึ่งพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยกิริยาที่แปดเปื้อนนั้น   จะให้พิจารณาเป็นประการใด    วิสัชนาว่า   ให้พระโยคาพจรกุลบุตรปลงธรรมสังเวชพิจารณาว่า  ปริโภคกาเล อาหารนั้นจำเดิมแต่แรก     บุคคลทั้งปวงบริโภคก็เปื้อนมือเปื้อนปากเปื้อนลิ้นเปื้อนเพดาน   กระทำมือแลปากแลลิ้นแลเพดานนั้นให้โสโครกพึงเกลียดพึงชัง    บางคนต้องชำระมือแล้ว  ๆ   เล่า  ๆ  ต้องบ้วนปากแล้ว  ๆ  เล่า   จึงจะหายเหม็นหายกลิ้น   ปริภุตฺโต   สมาโน อาหารมื้อนี้เป็นบุคคลบริโภคแล้ว   แลเข้าไปอยู่ในอุทรประเทศนั้น   เพลิงธาตุอันซ่านอยู่ในสกลกายเผาให้ร้อน  เผณฺทฺเทหกํ ปูดขึ้นเป็นปุ้มเป็นเปือก    เป็นฟองฟูดขึ้นมา   จับซ่องหูซ่องตา     ช่องจมูกแลเพดาน   ยถา   นาม   โอทเน   ปจฺจมเน เปรียบปานดุจหม้อข้าว   อันบุคคลหุงแลตั้งไว้บนเตา   ครั้นเดือดพลุ่งขึ้นมาก็มีแกลบแลรำแลปลายข้าวอันล้นขึ้นติดปากหม้อแลฝาละมีแปดเปื้อน    ฉันใดก็ดี   อาหารที่เป็นฟองฟูดล้นขึ้นไปด้วยร้อนแห่งเพลิงธาตุนั้น   เมื่อขึ้นมาจับอยู่ที่ฟัน   ก็แปดเปื้อนเป็นมลทินแห่งฟัน     เมื่อขึ้นมาจับลิ้นจับเพดาน     ก็แปดเปื้อนตามช่องจมูกลิ้นแห่งเพดานให้สำเร็จกิจเป็นเขฬะแลเสมหะ    เมื่อขึ้นมาจับช่องตาช่องจมูกก็แปดเปื้อนช่องหูช่องตาช่องจมูก   ให้สำเร็จกิจเป็นขี้หูขี้ตาขี้จมูกน่าพึงเกลียดพึงชัง   ที่เป็นมูตรเป็นคูถนั้นก็แปดเปื้อนทวารหนักทวารเบาแลทวารที่อาการแปดเปื้อนนั้น   ถึงบุคคลจะล้างจะสีจะชำระอยู่ทุกวัน  ๆ  ก็ดี    ที่จะบริสุทธิ์สะอาดเป็นที่จำเริญใจนั้นหาบ่มิได้ หตุ   โถ   ปุน   อุทเกน   โธวิตพฺโพ  มือที่ชำระอุจจารมรรคนั้น   ต้องล้างน้ำ   ๒   หน   ๓   ทน   ต้องสีด้วยโคมัย   สีด้วยดินสอด้วยจุณของหอมจึงปราศจากปฏิกูล เอวํ    สมฺมกฺขนฺโต   ปฏิกุลตา   ปจฺจเวกฺขิตพฺพา  พระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีปัญญา   พึงพิจารณาอาหารปฏิกูลโดยกิริยาที่แปดเปื้อนมีนัยพรรณนามาฉะนี้
   ตสฺเสวํ   ทสหากาเรหิ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาอาหารปฏิกูล   ๑๐   ประการกระทำการปฏิกูลนั้น   เป็นที่วิตกยกจิตขึ้นสู่อาการปฏิกูลโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้          กวฬิงการาหารก็จะปรากฏโดยอาการปฏิกูล ตํ   นิมิตฺตํ    ปุนปฺปุนํ   อาเสวติ  เมื่อปฏิกูลนิมิตปรากฏแล้ว   ให้พระโยคาพจรส้องเสพจำเริญปฏิกูลนิมิตนั้นให้มากในสันดาน     นิวรณธรรมก็สงบสงัด     จิตก็จะตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิที่จะถึงอัปปนานั้นไปบ่มิได้ถึง   เพราะเหตุอารมณ์ที่พิจารณากวฬิงการาหารนั้นลึกโดยสภาวะธรรมสัญญานั้น    ปรากฏด้วยสามารถถืออาการปฏิกูล    เหตุดังนั้นพระกรรมฐานนี้    จึงถือซึ่งนามบัญญัติชื่อว่าอาหารปฏิกูลสัญญา   มีแต่อุปจารสมาธิ    หาอัปปนาสมาธิบ่มิได้    แลพระภิกษุผู้กระทำเพียรจำเริญพระกรรมฐานอาหารปฏิกูลนี้   ย่อมมีจิตอันหดหู่บ่มิได้ยินดีด้วยรสตัณหา    บริโภคอาหารนั้นแต่พอจะได้ทรงกายไว้   บำเพ็ญสมณธรรมเพื่อยกตนออกจากทุกข์   เปรียบเหมือนชน   ๒    คนผัวเมียอันเกลียดเนื้อลูก    เสียมิได้จำเป็นจำบริโภคแต่พอจะให้มีแรงข้ามแก่งกันดาร   เดชะด้วยอุบายที่เคยกำหนดกวฬิงการาหารนี้เป็นปัจจัย   ก็จะกำหนดกฏหมายซึ่งราคะอันยุติในปัญจกามคุณนั้นได้ด้วยง่าย    ไม่พักลำบากยากใจ  
  ครั้นกำหนดราคะอันยุติในปัจกามคุณนั้นได้แล้ว    อุบายนั้นก็จะเป็นปัจจัยให้กำหนดรูปขันธ์    กายคาสติก็จะบังเกิดบริบูรณ์ในสันดาน   ด้วยสามารถพิจารณาในปฏิกูลทั้ง   ๖    มีอปริปักกาทิปฏิกูลพิจารณาอาหารอันยังมิได้ย่อยนั้น   เป็นต้นเป็นเดิมอันจำเริญพระกรรมฐานอันนี้    ได้ชื่อว่าปฏิบัติอนุโลมตามอสุภสัญญา อิมํ   ปฏิปตฺตํ    นิสฺสาย  พระโยคาพจรกุลบุตรผู้มีศัรทธานั้น   อาศัยประพฤติปฏิบัติอันนี้อาจจะได้สำเร็จคุณานิสงส์   มีถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นอมฤตรส    อันเป็นทีสุดในอาตมาภาพชาติ    นี้เห็นประจักษ์แจ้งถ้าบารมียังอ่อนไม่ได้สำเร็จพระนิพพาน   ครั้นทำลายเบญจขันธ์แล้วก็จะมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า   เหตุฉะนี้   นักปราชญ์ผู้มีปัญญาพึงอุตสาหะจำเริญอาหารปฏิกูลสัญญา   อันกอปรด้วยอานิสงส์ดังพรรณนามานี้   ฯ
วินิจฉัยในอาหารปฏิกูลสัญญายุติแต่เท่านี้ 
 