ถืออุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยอาการ ๕ อีกเล่า อาการ ๕ นั้นคือให้ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ต่อ ๑ โดยระหว่าง ๑ โดยที่ต่ำ ๑ โดยที่สูง ๑ โดยรอบคอบ ๑ เป็นอาการ ๕
สิริทั้งใหม่ทั้งเก่าเข้าเป็น ๑๑ ซึ่งว่าให้ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ต่อนั้น ให้พิจารณาเอาแต่ที่ต่อใหญ่อันปรากฏแลที่ต่อในร่างกายมีถึง ๑๘๐ คือ ที่ต่อน้อย ๑๖๖ ที่ต่อใหญ่ ๑๔ ที่ต่อน้อยนั้นเล็กละเอียดนักอย่าพึงพิจารณาเอาเป็นอารมณ์เลย ให้พิจารณาเองแต่ที่ต่อใหญ่อันปรากฏ คือ มือเบื้องขวามีที่ต่อ ๓ มือเบื้องซ้ายมีที่ต่อ ๓ เท้าซ้ายเท้าขวามีที่ต่อข้างละ ๔ คือมีที่ต่ออันละ ๑ สะเอวมีที่ต่ออัน ๑ เป็นที่ต่อใหญ่ ๑๔ แห่งดังนี้
ชื่อว่าให้ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยระหว่างนั้น คือให้พพิจารณาโดยระหว่างทั้งปวง คือระหว่างแห่งมือเบื้องขวาแลข้างเบื้องขวา คือระหว่างมือเบื้องซ้ายแลเบื้องซ้าย คือท่ามกลางเท้าทั้ง ๒ คือนาภีเป็นที่ท่ามกลางแห่งท้องคือ ช่องแห่งหู (อิติศัพท์เป็นอรรถแห่งอาทิศัพท์สงเคราะห์เอาช่องจมูกเป็นต้นด้วยนั้น ) อธิบายว่าให้พระโยคาพจรกำหนดให้รู้แท้ว่า อทุธุมาตก อสุภนี้หลับตาลืมตาอ้าปากหุบปาก ซึ่งว่าให้ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยที่ต่ำนั้น คือให้พระโยคาพจรกำหนดที่ลุ่มที่ต่ำในอุทธุมาตก คือ หลุมคอ หลุมคอภายในปาก
นัยหนึ่งว่าให้กำหนดเอาที่ยืนของตนว่า อาตมะยืนอยู่ในที่ต่ำ อุทธุมาตกอยู่ในที่สูง กำหนดที่ต่ำนั้นพึงกำหนดให้เป็น ๒ อย่าง ดังนี้ ซึ่งว่าให้ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนี้มีที่สูงนั้น คือให้พระโยคาพจรกำหนดว่า อุทธุมาตกอสุภนี้มีที่สูง ๓ แห่ง คือ เข่า ขา หน้าผาก นัยหนึ่งว่า ให้กำหนดที่ยืนของตน ว่าอาตมายืนอยู่ที่สูง ซากอสุภอยู่ในที่ต่ำ กำหนดที่สูงนั้นพึงให้กำหนดเป็น ๒ อย่างดังนี้
ซึ่งว่าให้ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยรอบคอบนั้น คือให้พระโยคาพจรกำหนดอุทธุมาตกอสุภนั้นให้จงทั่ว เมื่อพระโยคาพจรหยั่งปัญญา ให้สัญจรไปในอุทธุมาตกอสุภ โดยอาการ ๕ ดังนี้แล้ว ที่อันใดในซากอสุภปรากฏโดยอาการเป็นอุทธุมาตก ก็พึงให้พระโยคาพจรตั้งจิตไว้ว่าที่อันนี้เป็นอุทธุมาตก ผิว่าที่อันใดอันหนึ่งมิได้ปรากฏโดยอาการเป็นอุทธุมาตกเลย ก็ให้พระโยคาพจรกำหนดเอากายเบื้องบนมีพื้นท้องเป็นที่สุด เหตุที่อันนั้นเน่าพองยิ่งกว่าที่ทั้งปวงแล้ว พึงตั้งจิตไว้ว่า ที่อันนี้เป็นอุทธุมาตก พระโยคาพจรพึงถือเอานิมิตในซากอสุภนั้นให้ดีด้วยสามารถอุทธุมาตกนิมิต มีพรรณเป็นต้น แลมีสันธิเป็นปริโยสานอันควรแก่กล่าวแล้ว พึงตั้งสติให้ดีแล้วพิจารณาเนือง ๆ
เมื่อพระโยคาพจรพิจารณานั้น จะยืนก็ได้จะนั่งก็ได้ไม่มีกำหนด แต่ทว่าอย่าอยู่ให้ไกลนักใกล้นัก อยู่แต่พอประมาณ แล้วพิจารณาเห็นอานิสงส์ในอสุภกรรมฐานนั้น สำคัญว่าดวงแก้ว ตั้งไว้ซึ่งความเคารพรักใคร่จงหนัก ผูกจิตไว้ในอารมณ์ ถืออสุภนั้นให้มั่นด้วยดำริว่า อาตมาจะพ้นจากชราแลมรณะด้วยวิธีปฏิบัติอันนี้แล้ว ลืมจักษุขึ้นเล็งแลดูอสุภถือเอาเป็นนิมิตแล้ว พึงจำเริญบริกรรมภาวนาไปว่า อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ อุทฺธุมาตกํ ปฏิกุลํ ร้อยคาบพันคาบ
ลืมจักษุขึ้นแล้วเล็งแลดูแล้วพึงหลับลงพิจารณาเล่า ควรจะลืมจึงจะลืมควรจะหลับจึงหลับ เมื่อพระโยคาพจรกระทำเนือง ๆ ดังนี้ ได้ชื่อว่าถือเอาอุคคหนิมิตเป็นอันดี ปุจฉาถามว่า ถือเอาอุคคหนิมิตเป็นอันดีนั้นในกาลใด วิสัชนาว่า เมื่อพระโยคาพจรลืมจักษุขึ้นเล็งแลดูแล้วหลับลงพิจารณาเล่า อันว่านิมิตคือซากอสุภนั้น เข้าไปปรากฏในละเวกหว่างวิถีจิตของพระโยคาพจรเหมือนเมื่อแลดู ด้วยจักษุ เป็นอันเดียวกันในกาลใด ก็ได้ชื่อว่าพระโยคาพจรถือเอาอุคคหนิมิตเป็นอันดี พิจารณาเป็นอันดีกำหนดเป็นอันดีดังนี้แล้ว
ผิว่าพระโยคาพจรนั้นมิอาจถึงที่สุดสำเร็จแห่งภาวนา คือ ปฐมฌานในที่นั้น ก็พึงให้กลับมาสู่เสนาสนะ เมื่อจะกลับมานั้น พึงปฏิบัติให้เหมือนเมื่อแรกจะไปพิจารณาซากอสุภ ให้กลับมาแต่ผู้เดียวอย่ามีเพื่อ พึงให้กระทำอสุภกรรมฐานนั้นไว้ในใจ พึงตั้งจิตไว้ให้มั่น สำรวมอินทรีย์ไว้ให้สงบอยู่ภายใน อย่าทำน้ำใจอยู่ภายนอก เมื่อจะออกจากป่าช้านั้น พึงให้กำหนดหนทางกลับให้ตระหนักแน่ว่าหนทางอันนี้ไปข้างเหนือข้างใต้ตะวันตกตะวันออก หนทางอันนี้แวะไปซ้าย หนทางอันนี้แวะไปขวา มีก้อนศิลาแลจอมปลวกต้นไม้ แลกอไม้เครือเขาเถาวัลย์เป็นสำคัญอยู่ข้างนี้ ๆ พระโยคาพจรกำหนดหนทางแล้วกลับมาสู่เสนาสนะด้วยประการดังนี้แล้ว
เมื่อจะจงกรมนั้นพึงให้จงกรมในประเทศพื้นแผ่นดิน อันจำเพาะหน้าต่อทิศที่อยู่แห่งอสุภนิมิต แม้จะนั่งภาวนาก็พึงปูอาสนะให้เฉพาะหน้าสู่ทิศที่อยู่แห่งอสุภนิมิตนั้น ถ้ามีแหวแลต้นไม้แลรั้วกีดขวางอยู่ พระโยคาพจรมิอาจจะเดินจงกรม มิอาจจะตกแต่งอาสนะที่นั่งให้จำเพาะสู่ทิศอันนั้นได้ เหตุไม่มีที่ว่างที่เปล่า ก็อย่าพึงให้พระโยคาพจรเล็งแลดูทิศที่อยุ่แห่งอสุภนิมิต พึงให้ตั้งจิตจำเพาะต่อทิศที่อยู่แห่งอสุภนิมิตแล้ว ก็พึงให้เดินจงกรมแลนั่งภาวนาในประเทศอันสมควรนั้นเถิด ฯ
จักวินิจฉัยในเนื้อความ ๓ ข้อ คือ กำหนดในนิมิตโดยรอบคอบ ๑ คือ ถือเอาอุทธุมาตกอสุภนิมิตโดยอาการสิบเอ็ด ๑ คือพิจารณาหนทางอันไปแลมา ๑ เป็นเนื้อความ ๓ ข้อดังนี้ ซึ่งว่าให้พระโยคาจรกำหนดในที่นิมิตโดยรอบคอบนั้น มีคุณานิสงส์คืออุทธุมาตกอสุภนิมิตในเขลาเอันมีควรจะไป คือ เวลาสังวัธยายแลกำหนดนิมิตมีไม้เป็นต้นโดยรอบคอบแล้วลืมจักษุขึ้นเล็งแลดูซากอสุภ เพื่อจะถืออุคคหนิมิต
อันว่าอุทธุมาตกอสุภนั้น ปรากฏดุจลุกขึ้นหลอกหลอนแล้วยืนอยู่ มิฉะนั้นปรากฏดุจหนึ่งว่าเข้าครอบงำพระโยคาพจร มิฉะนั้น ปรากฏดุจแล่นไล่ติดตามมา เมื่อพระโยคาพจรเห็นอารมณ์อันพึงกลัว แปลกประหลาดเหมือนภูตปีศาจดังนั้น ก็จะมีจิตกำเริบเป็นสัญญาวิปลาสปราศจากสมปฤดี ดุจคนขลาดผีแลบ้าผีสิงแล้วจะสะดุ้งตกใจ ให้กายเกิดกัมปนาทมีโลมชาติอันชูชันทั่วสรรพางค์
เหตุพระกรรมฐานทั้ง ๓๘ ซึ่งจำแนกไว้ในพระบาลีนั้น พระกรรมฐานบ่อนใดบ่อนหนึ่ง ซึ่งจะมีอารมณ์อันพึงกลัวเหมือนอุทธุมาตกอสุภกรรมฐานนี้หามิได้ พระโยคาพจรจะจำเริญพระกรรมฐานบ่อนนี้มักฉิบหายจากฌาน เหตุว่าพระกรรมฐานบ่อนนี้มีอารมณ์อันพิลึกพึงกลัวยิ่งนัก เหตุดังนี้ พระโยคาพจรพึงหยุดยั้งตั้งสติให้มั่นกระทำอาโภคจิตเนือง ๆ ว่า ประเพณีซากอสุภซึ่งจะลุกขึ้นหลอกแล้วแล่นไล่ติดตามมานั้นไม่มีอย่าง ผิว่าก้อนศิลาแลเครือเขาแล่นไล่ติดตามมาได้ ซากอสุภก็จะพึงลุกขึ้นหลอกหลอนแล่นไล่ติดตามกันดังนั้น
อนึ่ง ก้อนศิลาแลเครือเขาแล่นไล่ติดตามไม่ได้ ซากอสุภก็มิอาจจะแล่นไล่ติดตามได้เหมือนฉะนั้น อันว่าอาการอันเห็นปรากฏนี้ เกิดเพราะสัญญาอันกำหนดภาวนาจิต มีแต่มาตรว่าสัญญาแห่งท่าน ดูก่อนภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร อันนี้พระกรรมฐานปรากฏแก่ท่านแล้วอย่ากลัวเลย พระโยคาพจรกุลบุตรบรรเทาเสียซึ่งสะดุ้งตกใจ ยังปราสาทเลื่อมใสให้บังเกิดแล้ว พึงยังภาวนาจิตให้สัญจรไปในอุทธุมาตกนิมิตนั้นเถิด พระโยคาพจรก็จะสำเร็จภาวนาวิเศษ คือ ปฏิภาคอัปปนาปฐมฌานในเบื้องหน้า
พระโยคาพจรกำหนดนิมิตโดยรอบคอบนั้นมีคุณานิสงส์ คือ มิได้เป็นที่หลงใหลแห่งน้ำจิตดังนี้ พระโยคาพจรยังนิมิตตคาหะ คือ ถือเอาอุทธุมาตกนิมิตโดยอาการ ๑๑ ให้สำเร็จแล้วก็จะได้คุณานิสงส์ คือ น้อมพระกรรมฐานมาผูกไว้ในจิต อุคคหนิมิตจะบังเกิดแก่พระโยคาพจร ก็เพราะที่ลืมจักษุขึ้นเล็งแลอุทธุมาตกอสุภ เมื่อพระโยคาพจรยังภาวนาจิตให้สัญจรไปในอุคคหนิมิต แล้วก็จะได้ซึ่งปฏิภาคนิมิต
เมื่อยังภาวนาจิตให้สัญจรไปในปฏิภาคนิมิตแล้ว ก็จะได้สำเร็จอัปปนา คือ ปฐมฌาน พระโยคาพจรประดิษฐานอยู่ในอัปปนาคือ ปฐมฌานแล้วจะจำเริญพระวิปัสสนา พิจารณาองค์ฌานเป็นอนิจจังทุกขัง อนัตตาแล้ว ก็จะได้สำเร็จพระอรหัตตัดกิเลสขาด เข้าสู่พระปรินิพพานควรแก่การกำหนด พระโยคาพจรยังนิมิตคาหะ คือถือเอาอุทธุมาตกนิมิตให้สำเร็จโดยอาการ ๑๑ มีคุณานิสงส์ คือจะน้อมเอากระกรรมฐานมาผูกในจิตดังนี้ แลซึ่งว่าให้พระโยคาพจรพิจารณาทางอันไปแลจะมีคุณานิสงส์ คือ เป็นเหตุจะยังน้ำจิตให้ดำเนินไปสู่กรรมฐานวิถีนั้นคือ พระโยคาพจรจำพวกนี้ถือเอาซึ่งอุคคหนิมิตในอุทธุมาตกอสุภแล้วกลับมานั้น
ผิว่ามีทายกพวกใดพวกหนึ่งมาพบเข้าในละเเวกหว่างหนทาง แล้วถามถึงดิถี วัน คืน ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า วันนี้เป็นวันอะไร มิฉะนั้นเขาถามถึงปริศนามิฉะนั้น เขาปราศรัยสั่งสนทนาเป็นสุนทรกถา พระโยคาพจรจะนิ่งเสียด้วยอาโภคจิตคิดว่า ข้าเรียนพระกรรมฐานอยู่ต้องการอะไร ที่ข้าจะบอกจะกล่าวเจรจาตอบ จะนิ่งเสียด้วยอาโภคจิตดังนี้แล้ว จะเดินไปนั้นไม่สมควร ๆ จะบอกเนื้อความตามเหตุ ถ้าทายกเขาถามวันพึงบอกวัน ถามถึงปริศนาพึงแก้ปริศนา ผิว่าไม่รู้พึงบอกว่าไม่รู้
อนึ่ง พึงปราศรัยสนทนาโดยปฏิสันถาร เมื่อพระโยคาพจรประกอบต่าง ๆ อย่างพรรณนามานี้ อุคคหมินิตที่พระโยคาพจรได้นั้น ยังไม่แม่นยำยังอ่อนอยู่ ก็จะเสื่อมเสียจากสันดาน พระโยคาพจร เมื่ออุคคหนิมิตเสื่อมสูญจากสันดานดังนี้ก็ดี แม้ว่าทีทายกมาถาม ดิถีขึ้นแรมก็พึงบอกให้แก่เขา ถ้าเขาถามปริศนาและโยคาพจรนั้นมิได้รู้ ก็พึงบอกแก่เขาว่า ข้าไม่รู้ ผิว่ารู้ก็ควรจะกล่าวแก้โดยเอกเทศ พึงให้ปราศรัยสนทนาตอบทายกโดยอันสมควร
เห็นภิกษุอาคันตุกมาสู่สำนักแห่งตน ก็พึงให้กระทำปราศรัยสนทนาด้วยอาคันตุกภิกษุ อนึ่ง พึงให้พระโยคาพจรบำเพ็ญขุททกวัตรอันน้อยเป็นต้น คือเจติยังคณวัตร ปฏิบัติกวาดแผ้วเป็นต้นในลานพระเจดีย์ ๑ โพธิยังคณวัตร ปฏิบัติในลานพระมหาโพธิ ๑ อุโปสถาคารวัตร ปฏิบัติในโรงอุโบสถ ๑ โภชนาสาลาวัตร ปฏิบัติในโรงฉัน ขันตาฆราวัตร ปฏิบัติในโรงไฟ ๑ อาจาริยวัตรปฏิบัติแก่อาจารย์ ๑ อุปัชฌายวัตร ปฏิบัติพระอุปัชฌายะ ๑ อาคันตุกวัตร ปฏิบัติแก่ภิกษุแก่ภิกษุอาคันตุก ๑ คมิยะวัตร ปฏิบัติแก่ภิกษุเดินทาง ๑
เมื่อพระโยคาพจรบำเพ็ญขุททกวัตรเป็นต้นดังนี้ อันว่าอุคคหนิมิตอันอ่อนแรกได้ ก็จะฉิบหายจากสันดานแห่งพระโยคาพจร แม้ว่าพระโยคาพจรจะปรารถนากลับคืนไป ถือเอานิมิตอันนั้นใหม่ ก็มิอาจจะไปสู่ประเทศป่าช้านั้นได้ เหตุว่าฝูงผีมนุษย์เนื้อร้ายหากหวงแหนพิทักษ์รักษาอยู่ อนึ่ง แม้พระโยคาพจรกลับไปสู่ป่าช้านั้นได้ก็ดี อุทธุมาตกอสุภนั้นก็อันตรธานเหตุอุทธุมาตกอสุภนั้นไม่ตั้งอยู่นาน ตั้งอยู่วันหนึ่งสองวันแล้วหายกลายเป็นซากอสุภอื่น มีวินีลกอสุภเป็นต้น
พระโยคาพจรมิอาจพิจารณาเอาอุคคหนิมิตนั้นคืนได้ เหตุอารมณ์นั้นต่างไป แต่บรรดาพระกรรมฐานบ่อนใดบ่อนหนึ่ง จะได้ด้วยยากอย่างอุทธุมาตกอสุภกรรมฐานนี้หามิได้ เหตุดังนั้นเมื่ออุคคหนิมิตหายไป เพราะบอกดิถีวันขึ้นแรมแก่ทายกเป็นต้นด้วยประการดังนี้แล้ว พึงพิจารณามรรคาวิถีที่ตนไปแลมา ตราบเท่าถึงที่อันคู้เข้าซึ่งบัลลังก์สมาธิแล้วแลนั่งนั้น ว่าอาตมาะออกจากวิหารที่อยู่โดยประตูอันนี้ ได้ไปสู่หนทางจำเพาะหน้าสู่ทิศอันโน้น ไปถึงที่นั้น อาตมะแวะไปซ้าย ไปถึงที่นั้นอาตมะแวะไปขวา ไปถึงอันนั้นมีก้อนศิลาเป็นสำคัญ ถึงที่อันนั้นมีจอมปลวกแลต้นไม้กอไม้เครือเขาเถาวัลย์อันใดอันหนึ่งเป็นสำคัญ
อาตมะไปโดยหนทางอันนั้นพบซากอสุภอยู่ที่โน้น ยืนอยู่ที่นั้นหันหน้าไปสู่ทิศอันโน้น แลพิจารณานิมิตโดยรอบคอบดังนี้ ถือเอาอสุภนิมิตดังนี้ ออกจากป่าโดยทิศชื่อโพ้นแล้วสำเร็จกิจสิ่งนั้น ๆ กลับมาโดยหนทางอันนี้ นั่งอุรุพันธาสน์อยู่ในที่นี้ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาดังนี้ อุคคหนิมิตอันหายไปก็จะปรากฏกลับคืนดุจหนึ่งว่าตั้งอยู่จำเพาะหน้า พระกรรมฐานของพระโยคาพจรก็จะไต่ไปดำเนินไปสู่มนสิการวิถีโดยอาการก่อน พระโยคาพจรพิจารณาหนทางอันไปแลมานั้นมีคุณานิสงส์คือ เหตุจะยังน้ำจิตให้ไต่ไปสู่กรรมฐานวิถีดังพรรณนามานี้