โยคาพจรปรารถนาจะจำเริญอุเบกขาพรหมวิหารร ให้ออกจากตติยฌานอันตนได้ในเมตตาพรหมวิหาร แลกรุณาพรหมวิหาร แลมุทิตาพรหมวิหารนั้นแล้ว จึงบำเพ็ญซึ่งจิตไปให้เฉพาะต่อบุคคลอันมัธยัสถ์ไม่รักไม่ชัง พึงยังอุเบกขาจิตให้บังเกิดด้วยกรรมว่า สตฺตา สตฺตา คตา วา กมฺมสฺสกา โหนตฺ ดังนี้จงเนือง ๆ เมื่อุเบกขาจิตบังเกิดเป็นอันดี ในบุคคลอันมัธยัสถ์แล้ว ให้โยคาพจรแผ่ซึ่งอุเบกขาไปในบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว จำเริญไปในสหายอันเป็นนักเลงแล้ว จำเริญไปในบุคคลอันเป็นเวรแล้วจึงกระทำสีมสัมเภทในบุคคลทั้ง ๔ จำพวก ด้วยสามารถตั้งจิตให้เสมอกันในบุคคลทั้ง ๔ จำพวกแล้ว พึงส้องเสพกระทำเนิง ๆ ซึ่งสีมสัมเภทนั้นเป็นนิมิต เมื่อจำเริญไปดังนี้เนือง ๆ อันว่าจตุตถฌานก็จะบังเกิดแก่โยคาพจรเจ้านั้นโดยนัยอธิบายอันกล่าวแล้วในปวีกสิณนั้น ฯ
จบอุเบกขาพรหมวิหารแต่เท่านี้
แลโยคาพจรอันจำเริญซึ่งเมตตาพรหมวิหารนั้น จะได้ซึ่งอานิสงส์ ๑๑ ประการ สุขํ สุปติ คือจะหลับก็เป็นสุขดุจเข้าซึ่งสมาบัติ ๑ คือตื่นขึ้นก็เป็นสุข ๑ มีหน้าอันปราศจากวิการดุจดังว่าดอกบัวอันบาน ๑ จะนิมิตฝันก็มิได้เห็นซึ่งสุบินอันลามก ๑ จะเป็นที่รักแก่มนุษย์ จะเป็นที่รักแห่งเทวดาและฝูงผี ๑ ฝูงเทพยดาจะอภิบาลรักษา ๑ และผู้จำเริญเมตตานั้น เพลิงก็มิได้สังหาร จะมิได้เป็นอันตรายเพราะยาพิษ ศัสตราวุธอันบุคคลประหารก็มิได้เข้าไปในกาย ๑ คือจิตแห่งบุคคลผู้นั้นจะตั้งมั่นลงเป็นองค์สมาธิ ๑ คือมีพักตร์จะผ่องดังผลตาลอันหล่นจากขั้ว ๑ เมื่อกระทำกาลกิริยามิได้ฟั่นเฟือนสติ ๑ แม้จะมิได้ตรัสรู้มรรคผลในชาตินี้ ก็จะไปบังเกิดในพรหมโลก ๑ เป็น ๑๑ ประการด้วยกัน เหตุดังนั้น นักปราชญ์ผู้มีปัญญาพึงหมั่นจำเริญซึ่งเมตตาพรหมวิหาร อันมีอานุภาพเป็นอันมากดังกล่าวมานี้ ฯ
วินิจฉัยในจตุพรหมวิหารยุติเท่านี้