อเลณโต พิจารณาให้เห็นว่าสังขารธรรมปราศจากที่เร้นซ่อนถึงคราวจะป่วยไข้ถึงคราวจะแก่ตาย จะหาที่เร้นซ่อนให้พ้นป่วยพ้นไข้ให้พ้นตายนั้นหาไม่ได้เลยเป็นอันขาด พิจารณาดังนี้ประการ ๑
อสรณโต พิจารณาให้เห็นว่าสังขารธรรม บ่มิอาจเป็นที่พึ่งคุ้มครองป้องกันชาติ แลชราพยาธิ แลมรณะได้นั้นประการ ๑
อาทีนวโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมากไปด้วยโทษประการ ๑
อฆมูลโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมเป็นเค้าเป็นมูลแห่งทุกข์ประการ ๑
วธกโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมีปกติเบียดเบียนบีฑาเหมือนดังนายเพชฌฆาตประการ ๑
สาสวโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมประกอบด้วยอาสวะกิเลสประการ ๑
มารามิสฺสโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมเป็นเหยื่อแห่งมารประการ ๑
ชาติธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมอากูลมูลมองไปด้วยชาติทุกข์ประการ ๑
ชราธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมเอาเกียรณ์ไปด้วยชราทุกข์ติดตามรัดรึงประการ ๑
พยาธิธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมากไปด้วยพยาธิทุกข์ครอบงำย่ำยีประการ ๑
มรณธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมีความมรณะอันแตกทำลายเป็นที่สุดประการ ๑
โสกธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมประกอบไปด้วยโศกทุกข์ คือมากไปด้วยความเดือดร้อนระส่ำระสายประการ ๑
ปริเทวธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมากไปด้วยปริเทวทุกข์ คือร้องไห้ร่ำไรน้ำตาไหนนั้นประการ ๑
อุปายาสธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมากไปด้วยอุปายาสทุกข์ คือสะอื้นอาลัยประการ ๑
สงฺกิเลสิกธมฺมโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมากไปด้วยเศร้าหมองภายในและภายนอกประการ ๑
ให้พระโยคาพจรเจ้า ยกปัญญาขึ้นสู่ทุกขลักษณะพิจารณาด้วยอาการเป็นต้นดังนี้
นัยหนึ่งให้พระโยคาพจรพิจารณาโดยอสุภลักษณะ อันบังเกิดเป็นบริวารแห่งทุกขลักษณะนั้นด้วยอาการเป็นอาทิ
อชญฺญโต คือพิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้จักได้เป็นที่ชอบเนื้อชอบเจริญใจแห่งนักปราชญ์ ผู้เห็นโทษด้วยปัญญาจักษุนั้นหาบ่มิได้ประการ ๑
ทุคฺคนฺธโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมเนื้ออากูลไปด้วยกลิ่นเหม็นกลิ่นเน่าประการ ๑
เชคุจฺฉโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้เป็นของพึงเกลียดอยู่เองเป็นปกติธรรมดาประการ ๑
ปฏิกุลโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมโสโครกอยู่เองแล้วมิหนำซ้ำเอาสิ่งของอื่น ๆ โสโครกไปด้วยประการ ๑
อมณฺฑนหตโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้ ถ้าไม่ประดับแล้วก็ปราศจากงามมีงามอันขะจัดจาก เพราะเหตุที่ไม่ประดับเมื่อไม่ตกแต่งขัดเกลา ไม่ประดับเครื่องประดับแล้ว อย่าว่าถึงจะงามแก่ปัญญาจักษุแห่งนักปราชญ์เลย แต่จะงามแก่ตาอันธพาลปุถุชนก็หางามไม่พิจารณาให้เห็นชัดดังนี้ประการ ๑
วิรูปโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้ไม่ดีเลยแต่สักสิ่งสักอัน พิจารณาให้เห็นแต่ล้วนไม่ดีอย่างนี้ประการ ๑
วิกจฺฉโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้พึงเกลียดตลอดภายในภายนอก พึงเกลียดทั้งพื้นต่ำและพื้นบน พึงเกลียดแก่ตน พึงเกลียดบุคคลผู้อื่น พิจารณาอย่างนี้ประการ ๑
ให้พระโยคาพจร ยกปัญญาขึ้นพิจารณาขึ้นพิจารณาอสุภลักษณะ อันเป็นบริวารแห่งทุกขลักษณะด้วยประการฉะนี้
ในพิธีพิจารณาอนัตตลักษณะนั้น ให้พระโยคาพจรเจ้าพิจารณาด้วยอาการเป็นอาทิ คือ
ปรโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมมีสภาวะแปรปรวนเป็นอื่น ไม่ยั่งยืนไม่มั่นไม่คงประการ ๑
รตฺตโต พิจารณาให้เห็นว่าสังขารธรรมเป็นริตตธรรม เพราะเหตุเปล่าจากสภาวะเที่ยงแท้และงาม เปล่าจากสภาวะเป็นสุขและเป็นอาตมาบ่มิได้เหมือนดังใจที่จะกำหนดกฏหมายประการ ๑
ตุจฺฉโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนั้นควรจะร้องเรียกชื่อว่าตุจฉธรรม เพราะเหตุว่าสังขารธรรมนี้ ที่จะงามจะดีเป็นสุขอยู่นั้นน้อยนักน้อยหนา ให้พิจารณาดังนี้ประการ ๑
สุญฺญโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้เป็นเครื่องดับเครื่องสูญประการ ๑
อสามิกโต พิจารณาให้เห็นว่าสังขารธรรมนี้หาเจ้าของบ่มิได้เพราะเหตุมาประพฤติตามวิสัยแห่งตน ตามถนัดแห่งตน หาผู้จะบังคับบัญชาว่ากล่าวบ่มิได้ประการ ๑
อนิสฺสรโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมนี้หาผู้จะเป็นใหญ่ขู่เข็ญข่มขู่บ่มิได้เลยเป็นอันขาด ถึงท่านที่มีอาชญานุภาพปราบปรามปัจจามิตรได้ทั่วไปในพื้นปฐพีมณฑลนั้นก็ดี ก็มิอาจปราบปรามสังขารธรรมได้ สังขารธรรมนี้เป็นอิสระอยู่แก่ตน ประพฤติตามวิสัยแห่งตนถึงที่จะเจ็บก็เจ็บ ถึงที่จะปวดก็ปวด ถึงที่จะเมื่อยก็เหมื่อย ถึงที่จะมึนก็มึน ถึงที่จะแก่ก็แก่ ถึงที่จะตายก็ตาย ใครจะห้ามก็ไม่ฟัง เพราะเหตุฉะนี้จึงหาว่าผู้ใดจะเป็นใหญ่ขู่เข็ญข่มขู่บ่มิได้ พิจารณาให้เห็นชัดดังนี้ประการ ๑
อสวตฺติโต พิจารณาให้เห็นว่า สังขารธรรมบ่มิใช่ตนบ่มิใช่ของแห่งตน เพราะเหตุไม่ประพฤติตามอำนาจแห่งตนนั้นประการ ๑
ให้พระโยคาพจรเจ้ายกปัญญาขึ้นสู่อนัตตลักษณะ พิจารณาให้เห็นด้วยอาการเป็นต้นดังนี้
มีคำปุจฉาว่า เหตุไฉนจึงให้พิจารณาดังนี้
วิสัชนาว่า ให้พิจารณาฉะนี้เพราะเหตุจะให้สำเร็จอุบายที่จะให้เปลื้องตนออกพ้นจากสังขารธรรม เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งสุ่มปลาครอบงูเห่าตัวหนึ่งลง บุรุษนั้นสำคัญว่าปลา ยื่นมือลงไปตามช่องสุ่มคว้าเอาต้นคอแห่งงูเห่านั้นได้ ก็ดีใจว่าทีนี้เราจับปลาได้สำเร็จความปรารถนาแห่งเราแล้ว
อุกฺขิปิตฺวา ครั้นยกขึ้นมาพ้นน้ำแล้วแลเห็นแสกศีรษะทั้งสามรู้ว่างูมีพิษ ความสดุ้งตกใจเห็นโทษ ก็มีจิตหน่ายจากอาลัยในที่จะถือเอา บุรุษนั้นมีความปรารถนาจะสละงูให้พ้นจากมือมิให้ทำร้ายอาตมาได้ จึงจับหางงูคลายขนดจากแขนตัวแล้ว ยกขึ้นแกว่งเบื้องบนศีรษะสองสามรอบกระทำให้งูทุพพลภาพถอยกำลังลง สลัดพ้นจากมืออาตมาแล้วก็รีบเร็วขึ้นจากน้ำยืนยังขอบฝั่งสระ แล้วกลับหน้ามาดูหนทางอันขึ้นมาไม่เห็นอสรพิษติดตามมาแล้วก็ดำริว่า อาตมาพ้นจากอสรพิษอันใหญ่อุปไมยด้วยตัวพระโยคาพจรกุลบุตร เมื่อได้อาตมาภาพก็ยินดีถือว่าเป็นของอาตมา ดุจบุรุษจับคองูภายในสำคัญว่าปลาแล้วยินดีนั้น เมื่อพระโยคาพจรเจ้าจำเร็ญพระวิปัสสนาหยั่งลง เห็นสังขารธรรมโดยพระไตรลักษณะทั้ง ๓ คือ พระอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะแล้ว และมีความสะดุ้งภยตูปัฏฐานญาณ ปานดังบุรุษยกมือขึ้นจากช่องสุ่มเห็นแสกศีรษะทั้งสามแห่งงูแล้วสะดุ้งตกใจนั้น เมื่อพระโยคาพจรเล็งเห็นโทษในสังขารด้วยอาทีวานุปัสสนาญาณแล้ว และเหนื่อยหน่ายด้วยนิพพิทานุปัสสนาญาณนั้น ปานดังบบุรุษเห็นแสกศีรษะทั้งสามรู้ว่า ว่างูมีความสะดุ้งตกใจ เล็งเห็นโทษแล้วก็หน่าย ปรารถนาเพื่อจะสละให้พ้นจากอาตมา เมื่อพระโยคาพจรยกสังขารธรรมขึ้สู่พระไตรลักษณะอีกเล่าเมื่อจะตกแต่งแสวงหาอุบายอันจะพ้นจากสังขารธรรมด้วยปฏิสังขานุปัสสนาแสวงหาอุบายอันสละงูให้พ้นจากอาตมานั้น แท้จริงขณะเมื่อบุรุษคลายงูจากแขนอาตมาแล้วแกว่งเวียนเหนือเศียรสิ้นสามรอบ กระทำให้ทุพพลภาพบ่มิอาจเพื่อจะเลี้ยวขบอาตมาได้ ก็สละให้พ้นอาตมาได้เป็นอันดี จะมีอุปมาฉันใด และพระโยคาพจรพิจารณาสังขารยกขึ้นสู่พระไตรลักษณะ กระทำให้ทุพพลภาพให้ถึงซึ่งสภาวะบ่มิอาจเพื่อจะปรากฏด้วยอาการอันเล็งเห็นว่าเป็นสุขว่าตัวตนแล้ว ก็สละให้พ้นเป็นอันดี ก็อุปไมยดังนั้น
ปัญญาแสวงหาอุบายอันละสังขารธรรมดังนี้ ได้ชื่อว่าปฏิสังขานุปัสสนาญาณบังเกิดในสันดานแห่งพระโยคาพจรนั้น
ปฏิสงฺขานุปสฺสนาญาณํ นิฏฐิตํ สำแดงปฏิสังขานุปัสสนาญาณจบเท่านี้
แต่นี้จักสำแดงสังขารุเบกขาญาณสืบต่อไป
โส เอวํ ปฏิสงฺขานุปสฺสนาญาเณน สพฺเพ สงฺขารา สญฺญาติ ปริคฺคหิโต พระโยคาพจรกุลบุตรนั้น เมื่อกำหนดกฏหมายพินิจพิจารณาเห็นว่าสังขารธรรมเป็นเครื่องสูญ ด้วยปฏิสังขานุปัสสนาญาณโดยนัยดังพรรณนามาฉะนี้แล้วลำดับนั้นพระโยคาพจรจึงกำหนดอาการที่สูญ ประกอบด้วยเงื่องเป็นสองเงื่อนแล้ว จึงพิจารณาที่สูญด้วยอาการ ๑ แล้วกระจายออกอีกเล่า พิจารณาที่สูญอาการ ๘ ครั้นแล้วขยายออกอีกพิจารณาที่สูญด้วยอาการ ๑๐ แล้วไม่หยุดแต่เพียงนั้นขยายออกอีกพิจารณาที่สูญด้วยอาการ ๑๒ แล้วไม่หยุดแต่เพียงนั้นแผ่ขยายออกพิจารณาที่สูญด้วยอาการ ๔๒ โดยนัยพิสดาร
แลข้อซึ่งกำหนดอาการที่สูญ ประกอบด้วยเงื่อนเป็นสองเงื่อนนั้น คือพระโยคาพจรกำหนดว่า สุญฺญมิทํ อตฺเถ สังขารธรรมนี้เปล่าจากอาตมา บ่มิได้เป็นอาตมาประการ ๑ กำหนดว่า สญฺญมิทํ อตฺตนิเยน สังขารธรรมนี้เปล่าจากของอาตมา บ่มิได้เป็นของอาตมาประการ ๑ เป็น ๒ เงื่อนฉะนี้
และข้อซึ่งพิจารณาให้กระจายขยายออกเป็น ๔ เงื่อนนั้น
คือพระโยคาพจรพิจารณาว่า นาหํ กฺวจินิ ตัวตนแห่งเรานี้จะได้มีในที่ใดที่หนึ่งในกาลอันหนึ่งหามิได้ เป็นเงื่อนอัน ๑
พิจารณาว่า น กสฺสจิ กิญฺจนตสฺมึ ตัวแทนแห่งเราที่เราควรจะสำคัญว่าเป็นของตน ควรจะนำไปให้เป็นธุระกังวลแก่บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งนั้นจะได้หาบ่มิได้ พิจารณาดังนี้เป็นเงื่อนอัน ๑
พิจารณานาว่า น จ กฺวจินิ ตัวตนแห่งผู้อื่นนั้นเล่า จะได้มีในที่ใดที่หนึ่งในกาลอันใดอันหนึ่งหาบ่มิได้ พิจารณาเห็นดังนี้เป็นเงื่อนอัน ๑
พิจารณาว่า น จ มม กวฺจินิ กสฺมิญฺจิ กิญฺจนตฺถิ ตัวตนแห่งผู้อื่น ที่ผู้อื่นควรจะสำคัญว่าเป็นของตน ควรจะนำมาให้เป็นธุระกังวลสิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่เรานี้ จะได้มีหาบ่มิได้ พิจารณาดังนี้เป็นอัน ๑
สิริเป็นอาการเห็นว่าใช่อาตมา ใช่ของแห่งอาตมาทั้งภายในและภายนอก ตนเองก็เห็นว่าของแห่งตน ข้อซึ่งโลกสังเกตกำหนดว่าสัตว์ว่าบุคคล ว่าหญิงว่าชายว่ามิตรว่าชายว่ามิตรว่าสหายว่าพี่ว่าน้องนั้นเมื่อพิจารณาให้ละเอียดไปจะได้คงอยู่ตามสังเกตกำหนดนั้นหาบ่มิได้ แต่ล้วนใช่ตนใช่ของตน เป็นสูญภาพเปล่าไปสิ้นทั้งนั้น
และข้อซึ่งกระจายออกพิจาณาที่สูญด้วยอาการทั้ง ๖ นั้นเล่า คือพระโยคาพจรพิจารณาว่า
จกฺขุสุญฺญํ อตฺเตน วา จักขุประสาทนี้เปล่าจากอาตมา บ่มิเป็นของอาตมาประการ ๑
จกฺขุสุญฺญํ อตฺตนิเยน วา พิจารณาว่าจักขุประสาทเปล่าจากอาตมา บ่มิเป็นของอาตมาประการ ๑
จกฺขุสุญฺญํ นิจฺเจน วา พิจารณาว่าจักษุประสาทเปล่าจากสภาวะเที่ยง บ่มิได้เที่ยงแท้ประการ ๑
จกฺขุสุญฺญํ ทุเวน วา พิจารณาว่าจักษุประสาทเปล่าจากสภาวะยั่งยืนมั่นคง บ่มิมั่นมิคงประการ ๑
จกฺขุสุญฺญํ สสฺสเตน วา พิจารณาว่าจักษุนี้เปล่าจากชื่อว่าเที่ยง ตามลัทธิดิรัตถีย์ที่ถือว่าจักษุเที่ยงนั้น เปล่าเเท้ไม่มีสัตย์ ไม่มีจริง พิจารณาดังนี้ประการ ๑
จกฺขุสูญฺญํ อปริณามธมฺเมน วา พิจารณาว่าจักษุประสาทนี้เปล่าจากอวิปริณามธรรม ที่จะไม่แปรปรวนนั้นหาบ่มิได้ มีแต่แปรปรวนเป็นเบื้องหน้า พิจารณาดังนี้ประการ ๑
สิริเป็นลักษณะพิจารณาที่สูญแห่งจักษุประสาทด้วยการ ๖ ดังนี้
แลพิธีอันพิจารณาที่สูญ แห่งโสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท กายประสาท และหทยวัตถุนั้น แต่ละสิ่ง ๆ ก็ประกอบด้วยอาการละหก ๆ เหมือนกันกับพิจาณาที่สูญแห่งจักษุประสาท
แลรูปารมณ์ สัททารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ ธัมมารมณ์ นั้นก็ดี
จักษุวิญญาณ และโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณนั้นก็ดี
จักขุสัมผัส แลโสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัสนั้นก็ดี
ตลอดตราบเท่าถึงชราและมรณะนั้นแต่ละสิ่ง ๆ แต่ล้วนประกอบด้วยพิธีพิจารณาที่สูญ บริบูรณ์ด้วยอาการหก ๆ เหมือนกันกับพิธีพิจารณาที่สูญแห่งจักษุประสาท มีนัยดังสำแดงมาแล้วนั้น