แลข้อซึ่งปัญญาได้นามบัญญัติชื่อว่า ภยตูปัฏฐานญาณนั้นด้วยสามารถที่พิจารณาเห็นภัย จะมีครุวนาฉันใด มีครุวนาดังบุรุษอันเห็นขุมถ่านเพลิงทั้ง ๓ อันมีอยู่แถมประตูพระนคร ในกาลเมื่อเล็งแลดูขุมถ่านเพลิงทั้ง ๓ อันมีเปลวรุ่งโรจน์โชตนาการนั้น บุรุษนั้นจะได้สะดุ้งตกใจกลัวหาบ่มิได้ เป็นแต่พิจารณาเห็นภัยว่า สัตว์จำพวกใดตกลงในขุมถ่านเพลิงทั้ง ๓ นี้ สัตว์จำพวกนั้นก็จะได้เสวยทุกขเวทนาอันหยาบ ช้าสาหัสมิได้น้อยได้เบาเลยเป็นขันขาด สยํ น ภายติ ตกว่าบุรุษผู้นั้นตกเองหากลัวไม่แลมีฉันใด ภยตูปัฏฐานญาณนี้ก็มิได้กระทำให้พระโยคาพจรสะดุ้งตกใจกลัว เป็นแต่ให้พิจารณาเห็นมรณภัยในกาลทั้ง ๓ คือ อดีตแลอนาคต แลปัจจุบัน มีอุปไมยดังนั้น
ถ้ามิฉะนั้นเปรียบเหมือนบุรุษอันเห็นหลาว ๓ เล่ม คือ หลาวไม้ตะเคียน หลาวเหล็ก หลาวทอง ปักเรียงกันอยู่ในคูแทบประตูพระนครบุรุษนั้นครั้นเห็นก็มีความดำริ ถ้าสัตว์จำพวกใดตกลงถูกหลาวทั้ง ๓ สัตว์จำพวกนั้นก็ได้เสวยทุกขเวทนา อันหยาบช้ากล้าแข็งบ่มิได้เลยเป็นอันขาดมิตายก็จะลำบากแทบบรรดาตาย สยํ น ภายติ ตกว่าบุรุษนั้นตนเองหากลัวไม่ หาสะดุ้งตกใจไม่ เป็นแต่พิจารณาเห็นมรณภัยในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต แลอนาคต แลปัจจุบัน มีอุปไมยดังนั้น
มีคำปุจฉาว่า กาลเมื่อกระทำมนสิการโดยอนิจจังเห็นอนิจจังนั้นสิ่งดังฤๅ ปรากฏอันเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจร
กาลเมื่อมนสิการโดยทุกขังนั้น สิ่งดังฤๅปรากฏเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจร กาลเมื่อมนสิการโดยอนัตตานั้น สิ่งดังฤๅปรากฏเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาจร
มีคำวิสัชนาว่า กาลเมื่อมนสิการโดยอนิจจังเห็นอนิจจังนั้นนิมิตคือสังขารธรรมปรากฏเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจร เพราะเหตุว่าเห็นอนิจจังแล้วก็เห็นความตายแห่งสังขารธรรมเมื่อเห็นความตายแท้สันทัด เห็นสัตว์เห็นเที่ยงที่จะตายนั้นกาลใด สังขารธรรมทั้งปวงก็ปรากฏเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจรในกาลนั้น
แลกาลเมื่อมนสิการโดยทุกขังเห็นทุกขังนั้น รูปารูปภวปวัตติปรากฏเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจร
รูปปารูปภปวัตตินั้น คือกิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรมประพฤติเป็นไปในภพ เมื่อมีปัญญาแลพิจารณาเห็นทุกขังแล้วก็เห็นว่ากิริยาที่เวียนไปในภพนี้ อากูลมูลมองไปด้วยกองทุกข์กองภัยมีประการต่าง ๆ ความทุกข์นั้นเบียดเบียนอยู่เนือง ๆ บ่มิได้มีที่สุด บ่มิได้มีที่หยุดยั้งถึงสุคติภพที่โลกนับถือว่าเป็นสุขนั้น ก็ยังประกอบด้วยทุกข์ติดตามย่ำยีบีฑาอยู่เนือง ๆ บ่มิรู้สิ้นสุดเหตุฉะนี้ เมื่อมีปัญญาพิจารณาเห็นทุกขังสันทัดแท้แน่ในใจแล้วกาลใด กิริยาที่รูปธรรมแลอรูปธรรมอันเวียนไปในไตรภพนั้นก็ปรากฏ เป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจรในกาลนั้น
แลกาลเมื่อมนสิการโดยอนัตตาเห็นอนัตตานั้น นิมิตแลวัตติปรากฏเป็นภัยอันพิลึกสิ้นทั้งสองประการ
อธิบายว่ากาลเมื่อเห็นพระอนัตตานั้น รูปธรรมนามธรรมปรากฏโดยเปล่าสูญ เปรียบประดุจบ้านร้างอันเปล่าหาคนอยู่บ่มิได้ มิฉะนั้นเปรียบประดุจพยับแดด อันปรากฏเป็นแสงระยับ ๆ แล้วแลเคลื่อนหายไปบัดเดี๋ยวใจไม่ยั่งไม่ยืน มิฉะนั้นเปรียบประดุจเมืองแห่งคนธรรพเทวบุตรอันบังเกิดขึ้นต่อพอเป็นที่เล่น โดยควรแก่อัชฌาสัยแห่งคนธรรพเทวบุตรแล้วแลสาปสูญไปในขณะบัดเดี๋ยวใจนั้น บ้านร้างแลพยับแดดแลเมืองแห่งคนธรรพเทวบุตร อันตรธานเป็นอันเร็วพลันสูญเปล่าบ่มิได้เป็นหลักเป็นประธาน แลมีฉันใดรูปธรรมนามธรรมก็อันตรธานเป็นอันเร็วสูญเปล่า บ่มิได้เป็นประธาน มีอุปไมยดังนั้น
เมื่อเห็นรูปธรรมนามธรรมปรากฏโดยเปล่าโดยสูญ บ่มิได้เป็นหลักเป็นประธานด้วยประการฉะนี้ อันว่านิมิตแลปวัตติคือสังขารธรรมอันบังเกิดแลกิริยาที่สังขารธรรมท่องเที่ยวไปในภพทั้งสองประการนี้ ก็ปรากฏเป็นภัยอันพิลึกแก่พระโยคาพจร ที่พิจารณาเห็นพระอนัตตาและกระทำมนสิการโดยอนัตตานั้น
ภยตูปฏฺานญาณํ นิฏฺิตํ  สำแดงภยตูปัฏฐานญาณยุติการแต่เท่านี้
แต่นี้จะสำแดงอาทีนวญาณสืบต่อไป
ตสฺส ตํ ภยตูปฏฺานญาณํ อาเสวนฺตสฺส ภาเวนฺตสฺส พหุลีกโรนฺตสฺส  
เมื่อพระโยคาพจรกุลบุตรเสพซึ่งภยตูปัฏฐานญาณจะเริญเนือง ๆ กระทำไว้ให้มากในขันธ์สันดานแล้ว อันว่าภพแลกำเนิดคติแลวิญญาณฐิติแลสัตตาวาส ก็ปรากฏโดยสภาวะที่เร้นที่ซ่อนบ่มิได้ปรากฏโดยสภาวะหาที่พึงที่สำนักที่พิทักษ์รักษาบ่มิได้สิ้นทั้งนั้น พระโยคาพจรก็สิ้นรักสิ้นใคร่สิ้นความปราถนา อาลัยในสังขารธรรมสิ้นทั้งปวง ภพทั้ง ๓ นั้นก็ปรากฏประดุจขุมถ่านเพลิงอันเป็นเปลวรุ่งโรจน์ โชตนาการมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุนั้น ก็ปรากฏประดุจอสรพิษ ทั้ง ๔ ตัวอันมีพิษอันพิลึก ปัญจขันธ์ทั้ง ๕ คือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ นั้นก็ปรากฏดุจนายเพชฌฆาตทั้ง ๔ อันถือดาบเงือดเงื้อไว้คอยอยู่ที่จะฟาดฟัน อายตนะภายในทั้ง ๖ คือ จักขวายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ นั้นก็ปรากฏประดุจบ้านร้างบ้านเซ บ้านเปล่าสูญสิ้นทั้ง ๖ บ้าน อายตนะ ภายนอกทั้ง ๖ คือ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ ธัมมายตนะนั้นก็ปรากฏประดุจโจร ๖ คนอันมีฝีมือกล้าหยาบช้าทารุณ เข้าบ้านไหนก็จะฆ่าจะฟันชาวบ้านนั้นให้ถึงซึ่งความพินาศฉิบหาย
วิญญาณฐิติ ๗ แลสัตตาวาส ๙ นั้น ก็ปรากฏประดุจเพลิง ๑๖ กองไหม้เป็นเปลวโดยรอบกอปรด้วยรัศมีเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการ สพฺพสงฺขารา สังขารธรรมทั้งปวงนั้นก็ปรากฏประดุจฝีมืออันใหญ่อันมีพิษปวดแสบล้นพ้นที่จะอดกลั้นมิฉะนั้น โรคภูตา สังขารธรรมทั้งปวงก็ปรากฏประดุจบังเกิดเป็นโรคพยาธิเบียดเบียนให้ลำบาก เวทนาอยู่เป็นนิจนิรันดร์ มิฉะนั้น สลฺลภูตา สังขารธรรมทั้งปวงจะปรากฏประดุจดังเกิดเป็นลูกศรเสียบแทงอยู่ในกรัชกายสิ้นกาลทุกเมื่อ มิฉะนั้น อฆภูตา อาพาธภูตา สังขารธรรมทั้งปวงจะปรากฏประดุจเป็นกองทุกข์กองอาพาธ แลกองโทษอันใหญ่ปราศจากความยินดี เมื่อปัญญาพิจารณาเห็นฉะนี้ จิตสันดานแห่งพระโยคาพจรนั้นก็จะมากไปด้วยสังเวชจะพิจารณาเห็นแต่โทษฝ่ายเดียว เปรียบประดุจบุรุษอันมีความปรารถนาเพื่อจะเลี้ยงชีวิตให้เป็นสุข แลเข้าไปสู่ป่าอันตั้งอยู่ด้วยอาการอันควรจะเป็นที่ผาสุกสนุกสบาย เมื่อเเรกเข้าไปสู่ป่านั้นไม่รู้ว่าป่านั้นไม่รู้ว่าประกอบด้วยสัตว์ร้าย ครั้นรู้ว่ามีสัตว์ร้ายก็สิ้นความผาสุกสิ้นความสนุกสบาย จิตนั้นประกอบด้วยความรังเกียจ พินิจพิจารณาเห็นแต่โทษนั้นฝ่ายเดียวอันนี้แลมีฉันใด อาทีนวญาณนั้น เมื่อบังเกิดในสันดานแห่งพระโยคาพจรแล้ว ก็ให้พระโยคาพจรนั้น พิจารณาเห็นภพแลคติเห็นวิญญาณฐิติแลสัตตาวาสนั้น ปราศจากสุขไม่มีความสนุกสบายเลยพิจารณาเห็นแต่โทษนั้นฝ่ายเดียว มีอุปไมยดังนั้น
มิฉะนั้นเปรียบเหมือนบุรษอันปรารถนาหาความสุข แลหลงเข้าไปในถ้ำอันประกอบไปด้วยเสือโคร่ง เดิมนั้นหารู้ว่าเสือโคร่งอยู่ในถ้ำนั้นไม่ ต่อเมื่อเข้าไปนอนไปหลับระงับกายแล้ว จึงรู้ว่าเสือโคร่งตัวใหญ่อาศัยอยู่ในถ้ำอันนั้น เมื่อรู้ว่าเสืออยู่ในถ้ำก็สิ้นรักสิ้นใคร่ ไม่มียินดีที่จะหลับจะนอน ใจนั้นประกอบด้วยความรังเกียจ มิได้เห็นคุณอันหนึ่งเลย เห็นแต่โทษฝ่ายเดียวอันนี้แลมีฉันใด อาทีนวญาณนั้นก็พิจารณาเห็นสังขารธรรมทั้งปวงว่า ปราศจากคุณมีแต่โทษนั้นฝ่ายเดียวมีอุปไมยดังนั้น
มิฉะนั้น เปรียบเหมือนบุรุษอันลงสู่ประเทศที่น้ำลึก อันประกอบด้วยจระเข้แลมังกรแลผีเสื้อน้ำอันร้าย สำคัญว่าจะเล่นน้ำให้สนุกสบาย ต่อลงไปในน้ำว่ายออกไปถึงที่ลึกแล้วจึงจะรู้ว่ามีจระเข้ร้าย มีมังกรแลผีเสื้อน้ำ ครั้นรู้ก็สิ้นความปรารถนา สิ้นสนุกสบาย พินิจพิจารณาเห็นโทษนั้นฝ่ายเดียว อันนี้แลมีฉันใด อาทีนวญาณก็พิจารณาเห็นแต่โทษแห่งสังขารนั้นฝ่ายเดียว มีอุปไมยดังนั้น
มิฉะนั้น มนุสฺสิตขคฺคา วิย ปจฺจตฺถิกา เปรียบประดุจบุรษอันมีข้าศึกถือดาบแวดล้อมขยับอยู่ที่จะฟาดจะฟัน บุรุษนั้นเห็นแต่โทษฝ่ายเดียว แลมีฉันใด อาทีนวญาณ ก็พิจารณาเห็นแต่โทษแห่งสังขารนั้นฝ่ายเดียว มีอุปไมยดังนั้น
มิฉะนั้น สวีสํ วิย โภชนํ เปรียบเหมือนบุรษอันหลงบริโภคอาหารที่ระคนด้วยยาพิษบุรุษนั้น พิจารณาเห็นแต่โทษนั้นฝ่ายเดียวมีอุปไมยดังนั้น
มิฉะนั้น อาทีนวญาณ ย่อมเห็นโทษแห่งสังขาร เปรียบประดุจบุรษเดินทางกันดารอาเกียรณ์ด้วยโจรร้าย แลพิจารณาเห็นแต่โทษนั้นฝ่ายเดียว
มิฉะนั้น อทิตฺตํ อิว อาคารํ เปรียบเหมือนบุรุษเจ้าของเรือนอันเห็นเรือนไฟไหม้ติดตลอดแล้ว แลพิจารณาเห็นแต่โทษนั้นฝ่ายเดียว
มิฉะนั้น อุยฺยุตฺตเสนา วิย รณภูมี เปรียบเหมือนเสนาอันยกออกไปสู่ที่สมรภูมิ แลพิจารณาเห็นแต่โทษฝ่ายเดียว
นักปราชญ์สันนิษฐานว่า ภยปัฏฐานญาณกับอาทีนวญาณนี้มีอรรถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะได้ต่างกันนั้นหาบ่มิได้ต่างกันแต่พยัญชนะเมื่อจะสำแดงโดยนิเทศ สำแดงที่แท้นั้น ภยตูปัฏฐานญาณกับอาทีนวญาณนี้ก็อันเดียวกันนั้นแล จะได้ต่างกันหาบ่มิได้เพราะเหตุว่า เห็นภัยกับเห็นโทษนั้นไม่ห่างไกลกัน เหตุดังนั้นสมเด็จพระมหากรุณาจึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า
กถํ ภยตูปฏาเน ปญญา อาทีนเว ปญญา อุปฺปาโท ภยนฺติ ภยตูปฏาเน ปญฺญา อาทีนเว ญาณํ ปวตฺตํ ภยนฺติ นิมิตฺตํ ภยนฺติ ฯ เป ฯ อุปายาโส ภยนฺติ ภยตูปฏฺาเน ปญฺญํ อาทีนเว ญาณํ
มีพระพุทธฎีกาตรัสเป็นกเถตุกามยตาปุจฉาว่า ปัญญาอันพิจารณาเห็นภัยประพฤติเป็นไปในห้องแห่งภยตูปัฏฐาณญาณ แลจัดเอาสำแดงในห้องแห่งอาทีนวญาณ ยกขึ้นเป็นอาทีนวญาณนั้น จะได้แก่ปัญญาดังฤๅ
ตรัสปุจฉาฉะนี้แล้ว ก็ตรัสวิสัชนาว่าปัญญาที่พิจารณาเห็นว่ากิริยาที่บังเกิดแต่ปัจจัยคือปุริมกรรม เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดที่นี้แล้วไปเกิดที่นั้น ๆ แล้วไปเกิดที่โน้น เวียนเอากำเนิดเกิดแล้วเกิดเล่าไม่สิ้นไม่สุดไม่หยุดไม่ยั้งนี้แลเป็นภัยอันใหญ่หลวงเป็นภัยอันพิลึก ควรจะสังเวช ควรจะสะดุ้งตกประหม่า ปัญญาพิจารณาเห็นกิริยาที่บังเกิดว่าเป็นภัยอย่างนี้จัดเป็นอาทีนวญาณประการ ๑