พระทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงในสรรพไญยธรรมทั้งปวง ได้ทรงแสดงกสิณ ๑๐ อย่างทางสมถภาวนาวิธีอันเป็นเหตุจะให้บรรลุถึงจตุตถฌานแลปัญจมฌานในรูปาพจรภูมิโดยนัย ที่ได้รับรวมแสดงมานี้เป็นสำคัญ ฯ
ก็แลเมื่อผู้โยคาพจรศึกษารอบรู้ในกสิณพิธี ตามกสิณภาวนานัยดังนี้แล้ว ต่อนั้นไปก็ควรจะศึกษาให้รู้ในปกิรณกพิธี ทางอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ อันจะได้อานุภาพกสิณที่บุคคลจำเริญให้เต็มที่ถึงจตุตถฌานนั้น ฯ
ในกสิณทั้ง ๑๐ นี้ ส่วนปฐวีกสิณ เมื่อพระโยคาพจรจำเริญถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้ว ก็สามารถจะอธิษฐานจิตนฤมิตรูปสิ่งของต่าง ๆ เป็นต้นว่า นฤมิตคนเดียวให้เป็นคนมาก ให้คนมากเป็นคนเดียวได้ แลทำอากาศแลน้ำให้เป็นแผ่นดินแล้วเดินยืนนั่งนอนในที่นั้นได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโตคาพจร อันจำเริญอาโปกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอษิษฐานจิต นฤมิตแผ่นดินให้เป็นน้ำแล้วดำผุดไปได้ในแผ่นดินแลทำฝนให้ตกลงได้ แลนฤมิตให้เป็นแม่น้ำห้วยหนองใหญ่น้อยเกิดขึ้นได้ แลทำพื้นที่รองภูเขาแลปราสาทเป็นต้น ให้เป็นน้ำแล้วโยคคลอนภูเขาเป็นต้นให้ไหวได้ดังประสงค์ ฯ
และพระโยคาพจร อันจำเริญเตโชกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอษิฐานจิต นฤมิตให้บังเกิดควันกลุ่มแลเปลวไฟสว่างได้ แลทำในถ่านเพลิงให้ตกลงได้ แลปรารถนาจะเผาสิ่งใด ๆ ก็อาจกระทำให้เกิดไฟ เผาสิ่งนั้นให้ไหม้ได้ แลทำให้บังเกิดแสดงไฟสว่างแลเห็นรูปในที่ไกลที่ใกล้ดังว่าเห็นด้วยตาทิพย์ แลพระอรหันต์ท่านที่มีเตโชกสิณสมาบัติคราวเมื่อปรินิพพาน ท่านสามารถจำเริญให้เกิดเตโชธาตุเผาสรีรกายของท่านได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโยคาพจร อันจำเริญวาโยกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอธิษฐานจิต แลกระทำให้เป็นตัวลอยไปตามลมหรือทวนลมได้แลทำให้ลมน้อยใหญ่เกิดได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโยคาพจร อันจำเริญนีลกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอธิษฐานจิต นฤมิตให้รูปเขียว แลทำให้เกิดมืดเขียวคลุ้มแลทำสิ่งอื่น ๆ ที่สุกใสงามดีให้เสียสีได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโยคาพจร อันจำเริญปีตกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถอธิษฐานจิต นฤมิตรูปให้มีสีเหลือง แลทำสีอื่น ๆ ให้หม่นหมองให้เป็นสีผ่องใสเหลืองดีได้ดังประสงค์ ฯ
พระโยคาพจร อันจำเริญโลหิตกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอธิษฐานจิต นฤมิตรูปให้มีสีแดง แลทำสีอื่นให้เป็นสีแดงได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโยคาพจร อันจำเริญโอทาตกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอธิษฐานจิต นฤมิตรูปให้มีสีขาว แลทำง่วงเหงาให้ตั้งอยู่ไกล แลมืดมนให้คลายไป แลทำให้เป็นแสงสว่างแลเห็นรูปสิ่งของทั้วปวง ดังว่าเห็นด้วยตาทิพย์ได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโยคาพจร อันจำเริญอาโลกกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอธิษฐานจิต นฤมิตรูปให้สว่างด้วยรัศมี แลง่วงเหงาให้ตั้งอยู่ไกล แลทำให้เกิดแสงสว่างแลเห็นรูปสิ่งของทั้งปวงดังว่าเห็นด้วยตาทิพย์ได้ดังประสงค์ ฯ
แลพระโยคาพจร อันจำเริญอากาสกสิณถึงจตุตถฌานภูมิเต็มที่แล้วก็สามารถจะอธิษฐานจิต ทำที่ปกปิดมิดชิดให้เปิดเผย แลนฤมิตให้เกิดอากาศช่องว่างขึ้นภายในแผ่นดิน แลภายในภูเขา แล้วเข้าไปยืนเดินนั่งนอนได้ แลทะลุไปในที่กั้นกำลังได้ดังประสงค์ ฯ
กสิณ ๑๐ นี้ วิธีที่จะอธิษฐานจิต นฤมิตให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น เมื่อพระโยคาพจรจำเริญกสิณส่วนหนึ่งส่วนใด ได้เข้าถึงจตุตุฌาน ควรเป็นที่ตั้งอภิญญาแล้ว เมื่อจะอธิษฐานจิตต้องออกจากจตุตถฌานนั้น แล้วจึงยกเรื่องที่ตนประสงค์นั้นขึ้นเพ่งรำพึงอยู่ให้มั่น ครั้นแล้วจึงยกเรื่องที่ประสงค์นั้นขึ้นบริกรรม แล้วกลับเข้าถึงจตุตถฌานอีกขณะจิตหนึ่งแล้ว จึงออกจตุตถฌานอีก แล้วจึงอธิษฐานตั้งจิตทับลงว่า ของสิ่งนี้ ๆ จึงเป็นอย่างนี้ ๆ พอตั้งจิตอธิษฐานลง สิ่งที่ประสงค์นั้นก็เป็นขึ้นในขณะทันใดนั้น ฯ
จบกสิณ ๑๐ ประการแต่เพียงนี้