นักปราชญ์พึงรู้ว่าพระกรรมฐาน ๑๑ คือ อสุภ ๑๐ กายคตาสติ ๑ ทั้ง ๑๑ ประการนี้
อนุกูลตามราคจริตเป็นที่สบายแห่งราคจริต คนเป็นราคจริตมักกำหนัดยินดีด้วยราคะนั้น สมควรจะจำเริญพระกรรมฐาน ๑๑ ประการนี้ พรหมวิหาร ๔ แลวรรณกสิณแดง ๔ เป็น ๘ พระกรรมฐานทั้ง ๘ นี้อนุกูลตามโทสจริต เป็นที่สบายแห่งโทสจริตแลอานาปาสติกรรมฐานนั้น เป็นที่สบายแห่งโมหจริตแลวิตกจริต คนมักลุ่มมักหลงคนมักวิตกวิจารนั้น สมควรที่จะจำเริญอานาปานสติกรรมฐานแลอนุสติ ๖ ประการ คือพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ ทั้ง ๖ ประการนี้ สมควรที่บุคคลอัน อันเป็นสัทธาจริตจะจำเริญ แลมรณานุสสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกูลมัญญา จตุธาตุวัตถาน ๔ ประการนี้
เป็นที่สบายแห่งพุทธจริต คนอันกอปรด้วยปัญญามากนั้น ควรจะจำพระกรรมฐานทั้ง ๑๐ ประการ คือ อรูป ๔ ภูตกสิน ๔ อาโปกสิน ๑ อากาสกสิณ ๑ นั้น เป็นที่สบายแห่งจิตทั้งปวง จะได้เลือกจริตก็หามิได้ นักปราชญ์พึงสันนิษฐานเข้าใจว่ากรรมฐานคืออรูป ๔ ประการนั้น แม้ว่าจะเป็นที่สบายแห่งจริตทั้งปวงก็ดี
อาทิกัมมิกบุคคลที่ไม่เคยบำเพ็ญพระกรรมฐานมาแต่ก่อน พึงจะฝึกสอนบำเพ็ญในปัจจุบันชาตินี้ บมิควรจะบำเพ็ญอรูปกรรมฐานทั้ง ๔ นี้ในเบื้องต้นอาทิกัมมิก บุคคลพึงเรียนกรรมฐานอันอื่นก่อน ได้พระกรรมฐานอันอื่นเป็นพื้นแล้ว จึงบำเพ็ญอรูปกรรมฐานภายหลัง แลกุลบุตรผู้จะเรียนกรรมฐานนั้น
ถ้าเรียนในสำนักสมเด็จพระผู้มีพระภาค ก็พึงมอบเวนกายอาตมะแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าว่า อิมาหํ ภควา อตฺตภาวัง ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ เนื้อความว่า ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคข้าพระองค์เสียสละ คือว่ามอบเวนซึ่งอาตมะภาพนี้แก่สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์ ถ้าจะเรียนในสำนักอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง ก็พึงมอบเวนกายแก่อาจารย์ อิมาหํ อนฺเต อตฺตภาวํ ตุมฺหากํ ปริจฺจชามิ เนื้อความว่า ข้าแต่อาจารย์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าเสียสละ คือว่ามอบกาย ซึ่งอาตมะภาพนี้แก่ท่านอันมิได้มอบเวนแก่อาจารย์ก่อนนั่นย่อมจะเป็นโทษ
คืออาจารย์นั่นจะมิได้ว่ากล่าวสั่งสอนตนก็จะละเลิกไป จะกระทำสิ่งใดก็กระทำเอาตาม อำเภอใจไม่ร่ำไม่ลาอาจารย์เห็นว่าเป็นคนไม่ดี แล้วก็จะมิได้สงเคราะห์ด้วยให้อามิสคือโภชนาหาร จะมิได้บอกอรรถธรรมให้กุลบุตรไม่ได้สงเคราะห์แต่สำนักอาจารย์แล้ว ก็จะจนมิพอใจที่จะเสียคนก็จะเสียคนไป มิพอที่จะสึกก็สึกไป อาศัยเหตุฉะนี้ จึงให้มอบแก่อาจารย์ เมื่อมอบเวนกายแก่อาจารย์แล้ว อาจารย์ก็จะไดว่ากล่าวสั่งสอน จะกระทำอันใดก็จะมิได้กระทำตามอำเภอใจ จะไปไหนก็จะมิได้ตามอำเภอใจ เมื่อว่าง่ายสอนง่ายประพฤติเนื่องอยู่ด้วยอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็จะสงเคราะห์ด้วยอามิสแลสอนธรรม กุลบุตรนั้นได้สงเคราะห์ ๒ ประการ แต่สำนักอาจารย์แล้ว ก็จะจำเริญในพระศาสนา
อนึ่งกุลบุตรผู้มีปัญญาจะเล่าเรียนพระกรรมฐานนั้น พึงกระทำสันดานให้บริบูรณ์ด้วยอัชฌาสัย ๖ คือโลภัชฌาสัย เห็นโทษในโลภมิได้โลภนั้น ๑ อโทสัชฌาสัย เห็นโทษในโทโสมิได้โกรธ ๑ อโมหัชฌาสัย เห็นโทษในโมหะมิได้ลุ่มหลงนัก ๑ เนกขัมมัชฌาสัย เห็นโทษในฆราวาส เห็นอานิสงส์แห่งบรรพชา ๑ ปริเวกกัชฌาสัย เห็นโทษในอันประชุมอยู่ด้วยหมู่ด้วยคณะ เห็นอานิสงส์แห่งอันอยู่ในสงบสงัดแต่ผู้เดียว ๑ นิสสรณัชฌาสัย เห็นโทษในภพ ยินดีในที่จะยกตนออกจากภพนั้น ๑ พึงกระทำสันดานให้บริบูรณ์ด้วยอัชฌาสัย ๖ ประการนี้
แลพระกรรมฐานนั้นสำแดงโดยสังเขปมี ๒ ประการ คือสมถกรรมฐาน ๑ วิปัสสนากรรมฐาน ๑ สมถกรรมฐานนั้นที่สำแดงโดยประเภทต่าง ๆ ออกเป็น ๔๐ ทัส คือกสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อาหารปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุวัตถาน ๑ พรหมวิหาร ๔ อรูป ๔ สิริเป็น ๔๐ ทัศด้วยกัน กสิณ ๑๐ ประการนั้นคือ ปถวีกสิน ๑ อาโปกสิณ ๑๐ ประการนั้นคือ ปฐวีกสิณ ๑ อาโปกสิณ ๑ เตโชกสิณ ๑ วาโยกสิณ ๑ นีลกสิณ ๑ ปีตกสิณ ๑ โลหิตกสิณ ๑ โ อทตกสิณ ๑ อากาศกสิณ ๑ อาโลกสิณ ๑ สิริเป็นกสิณ ๑๐ กระการดังนี้