พระวิสุทธิมรรค


 หน้าแรก
 สารบาญ เล่ม ๑
 สารบาญ เล่ม ๒
 สารบาญ เล่ม ๓

อารัมภกถา-พุทธโฆสุปัตติ
วิจารณ์
ศีลนิเทศ
ธุดงคนิเทศ
สมาธินิเทศ
กสิณ ๑๐
อสุภ ๑๐
อนุสสติ ๑๐
อัปปมัญญาพรหมวิหาร ๔
อรูปกัมมัฏฐาน ๔
อาหาเรปฏิกูลสัญญา
จตุธาตุววัตถาน



แผนที่วิสุทธิมรรค


 พระไตรปิฎก
 ฉบับประชาชน
 ฉบับปฏิบัติ
 ลานพุทธศาสนา
 เสียงธรรม
 พจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์
 ไทย-อังกฤษ
 อังกฤษ-ไทย
 ฉบับประมวลธรรม


  แวะเซ็นติชมหน่อยนะคะ



 
   เล่ม ๑ หน้า ๙

   บัณฑิตพึงรู้ว่า อินทรีย์สังวรศีล มีเว้นจากอันถือเอาซึ่งนิมิตอันเป็นที่ติดตามซึ่งกิเลสเป็นอาทิ เป็นลักษณะที่กำหนดของอินทรีย์สังวรศีล ดังรับพระราชทานถวายวิสัชนามาดังนี้ เอวํก็มีด้วยประการดังนี้

   อิทานิ อินฺทริยํวรสีลานนฺตรํ วุตเต อาชีวปาริสุทฺธสิเล อาชีวเหตุ ปญฺญตตานิ ฉนฺนํ สิกฺขาปทานนฺติ ยาติ ตานิ อาชีวเหตุ อาชิวการณา ปาปิจโฉ อิจฺฉาปกโต อสนฺตํ อนฺภูตํ อุตฺต ริมนุสสมฺมํ อุลลปติ อาปตติ ปาราชิกสฺส อาชีวเหตุ อาชีวการณา สญฺจริตตฺ สมาปชฺชติ อาปาฺตตฺ สงฺฆาทิเสสสฺส อาชีวเหตุ อาชีวการณา โย เต วิหาเร โส ภิกฺขุ อรหาติ ภณติ ปฏิวิชา นนฺตสส อาปตฺติ ถุลฺลจฺจยสฺส”

   ในการนี้ จะวินิจฉัยตัดสินในอาชีวปาริสุทธิศีล ที่องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ทรงแสดงในลำดับอินทรียสังวรศีล มีกระแสเนื้อความว่าสิกขาบททั้ง ๖ ประการ ที่องค์พระผู้ทรงพระภาค บัญญัติไม่เป็นปฐมนั้นว่า พระภิกษุองค์ใดในพระศาสนานี้มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงำกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม คือธรรมอันเป็นของแห่งพระอริยเจ้ามิได้มีในตนว่ามีในตน มิได้มีบังเกิดในตนว่าบังเกิดมีในตน เพราะเหตุที่จะเลี้ยงชีวิต เพราะการณ์คือจะเลี้ยงชีวิตกองอาบัติชื่อปาราชิก ก็มีแก่พระภิกษุนั้น

   อนึ่งพระภิกษุใด ถึงซึ่งภาวะสัญจรเที่ยวไป ชักหญิงให้แก่บุรุษชักบุรุษให้แก่หญิงจะเป็นสามีภรรยากัน เพราะเหตุจะเลี้้ยงชีวิตแห่งตนกองอาบัติชื่อว่าสังฆาทิเสส ก็มีแก่ภิกษุนั้น

   “โย เต วิหาเร วสติิ” อนึ่งพระภิกษุใดกล่าวถ้อยคำแก่อุบาสกเจ้าอาวาสว่า พระภิกษุองค์ใดอยู่ในวิหารของท่าน พระภิกษุองค์นันเป็นพระอรหันต์ กล่าวคำดังนี้ เป็นเหตุจะเลี้ยงชีวิต เมื่ออุบาสกรู้ว่าพระภิกษุล่วงดังนั้นแน่แล้ว กองอาบัติชื่อว่าถุลลัจจัย ก็มีแก่พระภิกษุนั้น

   อนึ่งพระภิกษุรูปใด ตนมิได้เป็นไข้ ขอโภชนะอันประณีตแต่สกุล เพื่อประโยชน์แก่ตนจะบริโภค เพราะเหตุแก่อาชีวะเลี้ยงชีวิตกองอาบัติชื่อว่าปาจิตติยะ ก็มีแก่พระภิกษุนั้น

   อนึ่งพระภิกษุองค์ใด ตนมิได้เป็นไข้ ขอโภชนาะอันประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนแล้วบริโภค เพราะเหตุแก่อาชีวะเลี้ยงชีวิตกองอาบัติชื่อว่าปาฏิเทสนียะ ก็มีแก่พระภิกษุนั้น

   อนึ่งพระภิกษุใดมิได้เป็นไข้ขอด้วยตน และยังบุคคลให้ขอสูปะโอนทะ เพื่อประโยชน์แก่ตนบริโภคเพราะเหตุอาชีวะเลี้ยงชีวิต กองอาบัติชื่อว่าทุกกฏ ก็มีแก่พระภิกษุนั้น

   สิกขาบทที่ ๖ องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคบัญญัติอย่างนี้

   บัณฑิตพึงรู้ว่า วาระพระบาลีที่เรากล่าวต่อไป ในบทคือกุหนะ เป็นอาทิ ของพระภิกษุที่ประพฤติล่วงสิกขาบททั้ง ๖ นั้นว่า

   “ตตฺถ กตมา กุหนา” ล้ำบททั้งหลายมีกุหนะเป็นต้นนั้น บทคือกุหนะเป็นดังฤๅ

   “ลาภสกฺการสิโลกสนฺตินิสฺสิตสฺส” พระภิกษุในพระศาสนานี้มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงำ อาศัยแก่ลาภสักการะ แลกิตติศัพท์ตั้งไว้แลตั้งไว้ด้วยดี และกระทำหน้าสยิ้วว่าตนกระทำเพียรอันยิ่ง และกระทำให้ทายกพิศวงด้วยอาการดังกล่าว

   “ตตฺถ กตมา ลปนา” บทคือลปนาเป็นดังฤๅ

   มีคำบริหารว่า พระภิกษุในพระศาสนานี้ ปรารถนาลามก มีจิตสันดานอันอิจฉาครอบงำ อาศัยแก่ลาภสักการ แลกิตติศัพท์ กล่าวคำของตนขึ้นก่อน แลยังทายกให้กล่าวถนอมกล่าวคำกระทำในเบื้องบน กล่าวคำโอบอ้อม กล่าวเกี่ยวพันในเบื้องบน กล่าวเกี่ยวพันโดยภาคทังปวง ยกยอเสียก่อนแล้วจึงกล่าวโดยภาคทั้งปวง กล่าวให้รักเนือง ๆ ทำอาการประพฤติตัวต่ำกล่าวถ้อยคำเหมือนแกงถั่ว แลภักดี แลอารีอารอบดังนี้ ชื่อว่าลปนา

   “กตมา เนมิตฺตกตา” สภาวะที่ภิกษุกระทำซึ่งนิมิตนั้นเป็นดังฤๅ

   พระภิกษุในพระศาสนานี้ ปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงำ อาศัยแก่ลาภสักการ แลกิตติศัพท์กระทำซึ่งนิมิตที่จะยังทายกให้ถวายจตุปัจจัยและกระทำโอกาสกล่าวถ้วอยคำด้วยจตุปัจจัย แลกล่าวคำกระซิบ แลกล่าวคำเปรียบปรายดังนี้ ชื่อว่า เนมิตตกตา

   “กตมา วิปฺเปสิกตา” สภาวะที่พระภิกษุกล่าวถ้อยคำ ชื่อว่านิปเปสิกตานั้นเป็นดังฤๅ

   พระภิกษุในพระศานนานี้ มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงำ อาศัยแก่ลาภแลสักการแลกิตติศัพท์ กล่าวคำด่า กล่าวคำครอบงำ กล่าวคำติเตียนบุคคลผู้อื่น เพื่อให้ทายากถวายจตุปัจจัย แลกล่าวคำยกยอแลยอโดยรอบคอบ แลกล่าวคำเย้ยแลเย้ยโดยรอบคอบ แลกล่าวถ้อยคำนำเสียซึ่งคุณ แลกล่าวถ้อยคำเหมือนได้กินเนื้อกินหนังทายกดังนี้ ชื่อว่านิปเปสิกตา

   “กตมา ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนฺตา” พระภิกษุปรารถนาลามกด้วยลาภนั้นเป็นดังฤๅ

   พระภิกษุในพระศาสนานี้ มีความปรารถนาลามก อันอิจฉาครอบงำ อาศัยแก่ลาภแลสักการแลกิตติศัพท์ ได้อามิสแต่เรือนนี้นำไปให้ในเรือนโน้นนำไปให้ในเรือนนี้ เที่ยวแลกเปลี่ยนอามิสด้วยอามิส แสวงหาอามิสด้วยอามิสดังนี้ ชื่อว่า “ลาเภน ลาภํ นิชิคึสนฺตา” วาระพระบาลองค์สมเด็จพระบรมศาสนาตรัสเทศนาไว้ดังนี้ มีเนื้อความวินิจฉัยในกุหนนิเทศดังนี้ก่อน

   ในบทคือ “ลาภสฺการสี โลกสนฺนิสฺสิตสฺสํ” นั้นว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ปรารถนาลาภ ๑ ปรารถนาสักการ ๑ ปรารถนากิตติศัพท์ ๑ แลมีปรารถนาลามก คือแสดงซึ่งคุณมิได้มีในว่ามีคุณในตน ความปรารถนาจะใคร่ได้จตุปัจจัยมาครอบงำจิตสันดานแห่งตน จึงได้ทำกลอุบายโกหกดังนี้

   ในคัมภีร์มหานิเทศนันว่า “ติวิธํ กุหนวตฺถุ” เหตุจะให้ได้โกหกนั้นมี ๓ ประการ คือพระภิกษุจะเสพปัจจัย ๑ คือพระภิกษุกล่าวคำในที่ใกล้ ๑ คือปรารถนาจะตั้งไว้ซึ่งอริยาบถ ๑ เพราะเหตุการณ์ดังนั้น พระอาจารย์เจ้าจึงปรารภวาระพระบาลีมีคำกล่าวว่า “ปจฺจยํ ปฏิเสธนสงฺขาเตน” เป็นอาทิฉะนี้ เพื่อจะแสดงซึ่งกุหนวัตถุทั้ง ๓ ประำการนั้น มีความวินิจฉัยว่า พระภิกษุโกหกนั้น คฤหบดีนิมนต์ให้รับจตุปัจจัยทั้ง ๔ มีจีวรปัจจัยเป็นอาทิ ตนก็ปรารถนาจะใคร่ได้จตุปัจจัยทั้ง ๔ นั้นก็ห้ามเสียไม่รับ เพราะปรารถนาอันลามก ครั้นรู้ว่าคฤหบดีศรัทธาตั้งอยู่ในตนแล้ว เมื่อภายหลังคฤหบดีมีความปริวิตกว่า “อโห อยฺโย อปปิจฺโฉ” ดังเราสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้ามีความปรารถนาน้อย ไม่ปรารถนาเพื่อจะรับจตุปัจจัยอันใดอันหนึ่ง พระผู้เป็นเจ้าปฏิบัติมักน้อยดังนี้เราทั้งหลายได้ปฏิบัติท่าน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้ ชื่อว่าได้ชาิติมนุษย์ก็ดี ถ้าแลว่าพระผู้เป็นเจ้าจะพึงรับจตุปัจจัยอันใดอันหนึ่ง บุญลาภก็จะพึงมีแก่เราคฤหบดีปริวิตกดังนี้แล้ว ก็นำปัจจัยทั้งหลาย มีจีวรปัจจัยเป้นต้นภิกษุนั้นก็กระทำให้แจ้งว่าตนปรารถนาจะอนุเคราะห์คฤหบดี จึงรับจตุปัจจัยของคฤหบดี จำเดิมแต่นั้นมา พระภิกษุก็กล่าววาจาให้คฤหบดีพิศวงเป็นเหตุที่จะให้คฤหบดีน้อมนำจตุปัจจัยใส่ให้เต็มเล่มเกวียนเข้าไปให้แก่ตน พระภิกษุปรารถนาลามกปฏิบัติดังนี้ บัณฑิตพึงรู้ว่ากุหนวัตถุแปลว่าเหตุที่จะโกหก กล่าวคือจะเสพซึ่งจตุปัจจัย

   อนึ่ง พระธรรมเสนาบดี กล่าวไว้ในคัมภีร์มหานิเทศนั้นว่า “กตมํ ปจฺจยปฏิเสวนสงฺขาตํ กุหนวตฺถุ” ดูกรอาวุโสทั้งหลาย เหตุที่พระภิกษุโกหกกล่าวคือปรารถนาจะเสพซึ่งปัจจัยเป็นดังฤๅ

   พระผู้เป็นเจ้ากล่าวคำปุจฉาแล้ว จึงกล่าวคำวิสัชนาว่า “อิธคหปติกา ภิกฺูขุํ นิมนฺเตนฺติ” คฤหบดีทั้งหลายในคำเป็นเหตุสั่งสอนแห่งพระบรมครูนี้ ย่อมนิมนต์พระภิกษุด้วยจีวรปัจจัย แลบิณฑบาตแลเสนาสนะแลคลานปัจจัยบริขาร พระภิกษุที่ปรารถนาลามกอันความอิจฉาครอบงำ ตนก็มีประโยชน์ด้วยจีวรเป็นปัจจัยเป็นอาทิ ก็ห้ามเสียไม่รับจีวรไม่รับบิณฑบาตแลเสนาสนะแลคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะเหตุปรารถนาจะใคร่ได้ให้มาก พระภิกษุนั้นจึงกล่าวคำตอบแก่คฤหบดีว่า “กึ สมณสฺส สหคฺเฆน จีวเรน” สมณะจะมีประโยชน์ดังฤๅด้วยจีวรอันถึงซึ่งค่าเป็นอันมาก พระสมณะจะบริโภคนุ่งห่มจีวรอันใด คือผ้าที่ตนแสวงหาได้ในสุสานะประเทศป่าช้า แลที่ตนแสวงได้ที่กองหยากเยื่อ แลผ้าอันตกอยู่ที่่ตลาด เป็นผ้าอันหาชายมิได้ มากระทำเป็นผ้าสังฆาฏิบริโภคทรงไว้ ผ้านั้นสมควรแก่สมณะจะนุ่งห่มจะบริโภค

   “กึ สมณสฺส สหคฺเฆน ปิณฺฑปาเตน” อันหนึ่งพระสมณะจะมีประโยชน์สดังฤๅ ด้วยบิณฑบาตอันถึงซึ่งค่าเป็นอันมาก พระสมณะจะสำเร็จเลี้ยงชีวิตด้วยค่าแห่งโภชนะ ที่ตนแสวงหาด้วยบิณฑบาตอันใดบิณฑบาตนันสมควรแก่พระสมณะ

   กึ สมณสฺส สหคฺเฆน เสนาสเนน” พระสมณะจะมีประโยชน์ดังฤๅ ด้วยเสนาสนะอันถึงซึ่งค่าเป็นอันมาก พระสมณะอยู่รุกขมูลเป็นวัตร และอยู่อัพโภกาสเป็นวัตร ด้วยปฏิบัติอันใด ปฏิบัติอันนั้นสมควรแก่พระสมณะ

   อนึ่ง พระสมณะจะมีประโยชน์ดังฤๅ ด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขารอันถึงซึ่งค่าเป็นอันมาก พระสมณะจะพึงกระทำโอสถด้วยมูตรเล่าแลชิ้นแห่งผลเสมอ ด้วยปฏิบัิติอันใด ปฏิบัติดังนี้สมควรแก่สมณะภิกษุกล่าวแก่คฤหบดี ดังนี้แล้่ว ก็บริโภคนุ่งห่มจีวรอันเศร้าหมอง บริโภคบิณฑบาตอันเศร้าหมองอยู่ในเสนาสนะอันเศร้าหมอง เสพเภสัชอันเป็นปัจจัยแก่ความไข้อันเป็นบริขาร แห่งชีวิตอันเศร้าหมอง เพราะเหตุปรารถนาจะให้ได้จีวรแลบิณฑบาต แลเสนาสนะ แลคิลานปัจจัยเภสัชบริขารให้ได้มาก ๆ “ตเมนํ คหปติกา” คฤหบดีทั้งหลายรู้่ว่าพระภิกษุปฏิบัติดังนี้ก็ยินดีเลื่อมใสว่า พระะสมณนี้มีความปรารถนาน้อยถือสันโดษยินดีในสงัดมิได้สัคคะระคนด้วยคฤหัสถ์แลบรรพชิต ปรารภความเพียรกล่าวคำชำระกิเลสแก่บุคคลทั้งหลายอื่น แล้วก็นิมนต์พระภิกษุนั้นด้วยปัจจัยทั้ง ๔ มีจีวรปัจจัยเป็นอาทิ พระภิกษุนั้นจึงกล่าวว่า กุลบุตรมีศรัทธาย่อมจะได้เสวยซึ่งบุญมาก เพราะเหตุมีหน้าเฉพาะต่อวัตถุทั้งสาม กุลบุตรมีศรัทธาจะได้เสวยบุญเป็นอันมากก็เพราะเหตุมีหน้าเฉพาะต่อไทยธรรม กุลบุตรมีศรัทธาย่อมจะได้เสวยซึ่งบุญเป็นอันมากก็เพราะเหตุมีหน้าเฉพาะต่อไทยธรรม กุลบุตรมีศรัทธาย่อมจะได้เสวยซึ่งบุญเป็นอันมากก็เพราะเหตุมีไทยธรรมตั้งอยู่ในที่เฉพาะหน้าศรัทธาของท่านก็มี แล้วไทยธรรมคือวัตถุที่ท่านจะพึงให้มีอยู่แล้วตัวของรูปก็เป็นปฏิคคาหก ผู้จะถือเอาก็มีอยู่แล้ว ถ้าแลว่ารูปจะไม่รับ ท่านก็จะไม่ได้ส่วนบุญ

   “น มยฺหํ อิมินา อตฺโถ” รูปจะมีประโยชน์จะมีปัจจัยนี้ก็หามิได้รูปรับครั้งนี้ก็อาศัยเพราะอนุเคราะห์แก่ท่านผู้มีศรัทธา พระภิกษุโกหกกล่าวดังนี้แล้วก็ถือเอาจีวรเป็นอันมาก ถือเอาซึ่งบิณฑบาตแลเสนาสนะและคิลาน ปัจจัยเภสัชบริขารเป็นอันมาก เพราะเหตุตนมีความปรารถนาอันลามกอยากจะใคร่ได้มาก

   อนึ่ง อาการที่พระภิกษุกล่าวสยิ้วหน้า แลกล่าวให้ทายกพิศวงกล่าวโกหกดังนี้ ชื่อว่ากุหนวัตถุ กล่าวคือจะเสพซึ่งปัจจัย

   อนึ่ง พระภิกษุปรารถนาลามก กล่าวคำให้ทายกพิศวงด้วยประการนั้น ๆ ด้วยวาจาแสดงว่าตนได้อุตตริมนุสสธรรม คือมรรคแลผลเป็นของแห่งพระอริยบุคคล ก็ได้ชื่อว่ากุหนวัตถุ เหมือนวาระพระบาลีว่า

   “กตมํ สามนฺตชปฺปนสงฺขาตํ กุหนวตฺถํ” องค์สมเด็จพระมหากรุณาตรัสเทศนาเป็นกเถตุกามยตาปุจฉาว่ากุหนวัตถุ กล่าวคือพระภิกษุกระซิบเจรจาในที่ใกล้นั้นเป็นดังฤๅ

   จึงทรงวิสัชนาว่า “อิเธกจฺโจ ปาปิจฺฉาปกโต” พระภิกษุจำพวกหนึ่งในพระศาสนานี้ มีอิจฉาลามก อันอิจฉาครอบงำปรารถนาจะกล่าวคำสรรเสริญตนให้ชนทั้งปวงรู้ว่าตนได้ธรรมวิเศษ หรืออุตริมนุสสธรรม ย่อมกล่าวถ้อยคำอันอาศัยธรรมเป็นของพระอริยบุคคล “โย เอวรูปํ จีวรํ ธาเรติ” พระสมณะองค์ใดทรงจีวรอย่างนี้พระสมณะองค์นั้นมีศักดานุภาพมาก พระสมณะองค์ใดทรงบาตรอย่างนี้ ทรงภาชนะอันบุคคลกระทำให้แล้วโดยโลหะอย่างนี้ ทรงธรรมกรกผ้ากรองน้ำ ลูกกุญแจ ทรงกายพันธน์ ทรงรองเท้าอย่างนี้ ๆ พระสมณองค์นั้นมีศักดานุภาพมาก

   อนึ่ง พระภิกษุนั้นกล่าวว่า พระอุปัชฌาย์ของพระสมณะองค์ใดปฏิบัติอย่างนี้ พระสมณะนี้มีศักดามาก พระภิกษุมีพระอุปัชฌาย์เสมอกันกับพระสมณะองค์ใด พระสมณะองค์นั้นมีศักดามาก พระภิกษุเป็นมิตรอันเป็นท่ามกลาง และเป็นมิตรอันเห็นกองของพระสมณะองค์ใด พระสมณะองค์นั้นมีศักดามาก “โย เอวรูเป วิหาเร วสติ” พระสมณะใดอยู่ในวิหารมีดังนี้เป็นรูป คือปราสาทยาว และปราสาทสี่เหลี่ยม แลปราสาทมีสัณฐานอันกลม ดุจดวงพระจันทร์ในวันเพ็ญแลอยู่ในคูหา แลที่เร้นแลกุฎีแลเรือนยอด แลหอรบ แลป้อม แลศาลาอันยาวแลอุปัฏฐานศาลาแลมณฑป แลรุกขมูล พระสมณะนั้นมีศักดามาก

   นัยหนึ่ง พระภิกษุมีคารมดุจธุลีอันบุคคลพึงเกลียด มีหน้าสยิ้วยิ่งนักทักทายยิ่งนัก คนทั้งหลายอื่นกล่าวคำสรรเสริญด้วยปากแห่งตนเป็นประมาณ พระภิกษุนี้ย่อมจะกล่าวคำให้ชนสำคัญตนว่าได้โลกุตตรคุณ อันลึกอันกำลังอันไพบูลย์ ควรจะปกปิดไว้ว่าพระสมณะนี้ได้ผลสมาบัติอันละเอียดดังนี้ ๆ อาการที่พระภิกษุสยิ้วหน้ากล่าวคำกระซิบในที่ใกล้ เอวํก็มีด้วยประการฉะนี้

   “ปาปิจฺฉสฺเสว ปน สดต สมฺภาวนาธิปฺปายา เตน อิริยาปเถน วิมฺหาปนํ อิรีิยาปถสงฺขาตํ กุหนวตฺถุ อิเธกจฺโจ ปาปิจฺโฉ อิจฺฉาปกโต สมฺภาวนาธิปฺปาโย เอวํ มํ ชโน สมฺภาเวสฺสตีติ คมนํ สฌฺเปติ ปณิธาย คจฺฉติ ปณิธาย ติฏฺฺติ ปณิธาย นิสีทติ ปณิธาย เสยยํ กปฺเปติ สมาหิโต วิย คจฺฉติ สมาหิโต วิย ติฏติ เสยฺยํ นิสีทติ เสยฺยํ กปฺเปติ อาปาถกฌายี จ โหติ”

   พระบาลีมีเนื้อความว่า “ปปปิจุฉสฺเสว ปน สโต” พระภิกษุมีความปรารถนาลามกอันอิจฉาครอบงำ ย่อมกระทำให้ผู้อื่นพิศวงด้วยอิริยาบถที่ตนกระทำปรารถนาจะยังบุคคลผู้ือื่นให้สรรเสริญดังนี้ บัณฑิตพึงรู้ชื่อว่า กุหนวัตถุ อาศัยซึ่งอิริยาบถเหมือนด้วยวาระพระบาลีที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสเทศนาเป็นคำปุจฉาว่า “กตมฺ อิริยาปถสงฺขาตํ กหนวตฺถุ” เหตุที่พระภิกษุโกหก กล่าวคือตั้งไว้ซึ่งอิริยาบถนั้นเป็นดังฤๅ

   จึงทรงวิสัชนาว่า พระภิกษุจำพวกหนึ่งในพระศาสนานี้ มีความปรารถนาลามกอันอิจฉาครอบงำ ปรารถนาจะให้ชนทั้งปวงสรรเสริญจึงวิตกว่า มหาชนจักสรรเสริญเราก็เพราะเหตุอย่างนี้ จึงตั้งไว้ซึ่งอิริยาบถคือจะเดินไปนั้นก็เดินไปดุจดังว่ามีธรรมวิเศษตรัสรู้แล้ว อนึ่งเมื่อเดินไปก็ตั้งจิตไว้ว่าชนทั้งหลายจงรู้ว่าเราเป็นพระอรหันต์ เมื่อจะยืนก็ตั้งจิตไว้เหมือนดังนี้ เมื่อจะนั่งจะนอนก็ตั้งจิตไว้เหมือนดังนั้น อนึ่งเมื่อจะเดินจะยืนจะนั่งจะนอน กระทำอาการดุจดังว่ามีจิตอันตั้งมั่นไว้ในอิริยาบถดุจเข้าสู่สมาธิในที่ปรากฏมหาชนทั้งปวงกิริยาที่จะตั้งไว้ซึ่งอิริยาบถทั้ง ๔ ด้วยเอื้อเฟื้อ แลอาการที่ตั้งไว้ซึ่งอิริยาบถทั้ง ๔ แลดัดแปลงอิริยาบถทั้ง ๔ ให้นำมาซึ่งความเลื่อมใส แลกระทำสยิ้วหน้า ด้วยจะแสดงซึ่งสภาวะแห่งตนตั้งไว้ยิ่งซึ่งความเพียร แลมีปกติสยิ้วหน้า แลสภาวะสยิ้วหน้า แลกระทำให้พิศวง แลยังโกหกให้ประพฤติเป็นไป แลสภาวะโหกดังนี้ ชื่ือว่ากุหนวัตถุ กล่าวคือ ตั้งไว้ซึ่งอิริยาบถ

   วินิจฉัยในลปานานิเทศ คือแสดงอาการที่พระภิกษุมีความปรารถนาลามก จะว่ากล่าวแก่คฤหบดี “อาลปนาติ วิหารํ อาคเต” จะสังวรรณนาอรรถในบทคืออาลปนานั้นก่อน

   มีเนื้อความว่า ภิกษุปรารถนาธรรมอันลามก เห็นมนุษย์ทั้งหลายออกมายังวิหารก็ทักทายก่อนว่า “โภนฺโต” ดูกรอุบาสกผู้เจริญท่านทั้งปวงพากันออกมาสู่อาราม เพื่อประโยชน์สิ่งอันใด ท่านจะมานิมนต์พระภิกษุทั้งหลายหรือ “ยทิ เอวํ คจฺฉถ” ถ้าท่านจะนิมนต์จะพระภิกษุแล้วจงไปก่อนเถิด เราจึงจะพาพระภิกษุทั้งหลายเข้าไปในบ้านเมื่อภายหลัง พระภิกษุกล่าวคำดังนี้ ชื่อว่า อลปนา แปลว่าทักทายก่อน

   นัยหนึ่งพระภิกษุน้อมนำเข้าไปถึงตนกล่าวว่า “อหํ ติสฺส ราชา มยิ ปสนฺโน” มีนามปรากฏชื่อว่า พระติสสเถร บรมกษัตริย์เลื่อมใสในเรา มหาอำมาตย์ชื่อนั้นเลื่อมใสในเรา พระภิกษุกล่าวถ้อยคำดังนี้ ก็ได้ชื่อว่า อาลปนา

   ในบทคือ “ลปนา” ไม่มีอาศัพท์อยู่ในเบื้องต้นนั้น มีเนื้อความนุษย์ทั้งหลายออกไปยังอารามถามว่า “ติสฺโส นามโก” พระภิกษุดังฤๅชื่อว่าติสสะ พระภิกษุนั้นก็กล่าวคำตอบว่า อาตมานี้แลชื่อติสสะบรมกษัตริย์เจ้าพระนครนี้เลื่อมใสในเรา ใช่แต่เท่านั้น มหาอำมาตย์ผู้ใหญ่มีนามชื่อนั้น ชื่อนี้ก็เลื่อมใสในเรา ดังนี้ชื่อว่าอาลปนา

   ในบทคือ “อุลฺลปนา” นั้น มีคำศัพท์ตั้งอยู่ในเบื้องต้นนั้นมีอรรถสังวรรณนา แปลในเนื้อความ “คหปติกานํ อุกฺกณฺเน” พระภิกษุกลัวว่าคฤหบดีทั้งหลายจะมีความกระสัน ให้โอกาสกล่าวถ้อยคำเอาเนื้อเอาใจคฤหบดีดังนี้ ชื่อว่า สลลปนา

   ในบทคือ “อุลฺลปนา” แปลว่ากล่าวยกยอนั้น คือพระภิกษุกล่าวว่า “มหากุฏมฺพิโก มหานาวิโก” ท่านผู้นี้เป็นกุฏพีผู้ใหญ่ ท่านผู้นี้เป็นนายสำเภาผู้ใหญ่ ท่านผู้นี้เป็นทานบดีผู้ใหญ่ พระภิกษุกล่าวคำยกยอดังนี้ ชื่อว่า อุลฺลปนา

   ในบทคือ “สมุลฺลปนา” แปลว่าภิกษุกระทำยกยอโดยส่วนทั้งปวงชื่อว่า สมุลฺลปนา

   ในบทคือ “อุนฺนหนา” นั้นว่า พระภิกษุกล่าวเกี่ยวพันดูกรอุบาสกทั้งหลาย แต่ปางก่อนถึงเทศกาลนี้แล้ว อุบาสกเคยถวายทานใหญ่ไทยธรรมต่าง ๆ มาในกาลบัดนี้ เหตุไฉนจึงไม่กระทำทานเหมือนอย่างนั้นเล่า กล่าวเกี่ยวพันไปกว่าอุบาสกทั้งหลายจะกล่าวตอบ ว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งปวงจะให้อยู่ แต่ทว่ายังหาโอกาสมิได้

   “อถวา อุจฺฉุหตฺถํ ทิสฺวา” นัยหนึ่งพระภิกษุเห็นอุบาสกถืออ้อยเดินมาถามว่า ดูกรอุบาสก อ้อยนี้ท่านนำมาแต่ดังฤๅ อุบาสกก็กล่าวคำตอบว่า อ้อยนี้ข้าพเจ้านำมาแต่ไร่อ้อย ดูกรอุบาสก อ้อยในไร่อ้อยนั้นหวานอยู่หรือ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อ้อยนี้กินเข้าไปดูจึงจะรู้ว่าหวานหรือไม่หวาน ดูกรอุบาสก พระภิกษุจะกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้แก่ภิกษุนั้นไม่ควร พระภิกษุกล่าวเกี่ยวพันเบื้องต้นดังนี้ ชื่อว่าอุนฺนหนา พระภิกษุกล่าวยกยอแล้ว ๆ เล่า ๆ โดยภาคทั้งปวงชื่อว่า สมุนฺนหาน

   ในบท “อุกฺกาปนา” นั้นว่า พระภิกษุยกยอตนแล้วแสดงว่า “เอตํ กุลํ มํ เอว ชานาติ” ตระกูลนี้รู้จักเราผู้เดียว ถ้าแลว่าไทยธรรมบังเกิดขึ้นในตระกูลนี้ก็จะถวายแก่เรา มีอรรถรูปว่า ภิกษุยกยอตัว ชื่อว่า อุกกาปนา บัณฑิตพึงกล่าวนิทานอุบาสิกา ชื่อว่า เตลกัณฑริกา สาธกเข้าในบทคือ อุกกาปนา นี้

   พระภิกษุกล่าวยกยอตนแล้่ว ยกยอตนเล่า โดยส่วนทั้งปวง ชื่อว่า สมุกฺกาปนา

   ในบทคือ “อนุปฺปิยภาณิตา” นั้นว่า ภิกษุไม่แลดูการที่จะประกอบด้วยประโยชน์ มีรูปอันเป็นไปตามสัตย์สมควรแก่คำสัตย์แลสมควรแก่ธรรมที่ตนประพฤติ กล่าวถ้อยคำที่จะทายารักใคร่ตนแล้ว ๆ เล่า ๆ ชื่อว่า อนุปฺปิยภาณิตา

   พระภิกษุประพฤติตนตั้งตนไว้ในเบื้องต่ำ แล้วแลประพฤติเป็นไปชื่อว่า ปาตุกามยตา

   พระภิกษุกล่าววาจาเหมือนด้วยแกงถั่ว ชื่อว่า มุคฺคสุปปนา มีคำอุปมาว่า เมื่อบุคคลแกงถั่วนั้น ประเทศข้างหนึ่งไม่สุก ประเทศข้างหนึ่งสุก ดิบบ้างสุกบ้าง อันนี้แลมีอุปมาฉันใด ก็มีอุปไมยเหมือนวาจาที่ภิกษุกล่าวนั้นจริงบ้าง เท็จบ้าง เท็จระคนกับจริง จริงระคนกับเท็จ สภาวะที่ภิกษุกล่าวถ้อยคำเหมือนแกงถั่วนั้น ชื่อว่า มุคฺคสุปฺปตา

   สภาวะที่ภิกษุบำเรอนั้น ชื่อว่า ปาริภฏยตา

   ที่จริงพระภิกษุรูปหนึ่งอุ้มทารกตระกูลด้วยสะเอว แลทรงทารกแห่งตระกูลไว้ด้วยบ่า การที่ภิกษุอุ้มทารกแห่งตระกูลนั้น ชื่อว่า ปาริภฏยตา

   สภาวะที่พระภิกษุอุ้มทารกนั้น ชื่อว่า ปาริภฏยตา

   วินิจฉัยในเนมิตติกตานิเทศนั้นว่า “ยํกิญฺจิ กายวจีกมฺมํ” พระภิกษุกระทำด้วยกายแลวาจา อันประกอบด้วยประโยชน์ ที่จะยังชนทั้งหลายอื่น ๆ ให้ปัจจัยแก่ตน ชื่อว่า นิมิต

   อนึ่ง พระภิกษุเห็นชนทั้งหลายถือเอาซึ่งขาทนียะทั้งหลายแล้วแลเดินไป ตนก็กระทำนิมิตโดยนัยเป็นอาทิว่า ท่านทั้งหลายได้ขาทนียะของกันมาหรือดังนี้ ชื่อว่า นิมิตกรรม

   พระภิกษุกล่าวถ้อยคำอันประกอบด้วยปัจจัย ชื่อว่า โอภาส

   อนึ่งพระภิกษุเห็นทารกเลี้ยงโค ถามทารกเลี้ยงโคนั้นว่า “กึ อิเม วจฺฉา” ลูกโคทั้งปวงนี้เป็นลูกโคนมหรือ ๆ ว่าเป็นลูกโ่คเปรียง

   ทารกเลี้ยงโคก็กล่าวตอบว่า “ภนเต” ข้าแต่พระู้ผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ลูกโคทั้งหลายนี้เป็นลูกโคนม พระภิกษุจึงกล่าวว่า “นขีรโควจฺฉา” ลูกโคทั้งปวงนี้มิใช่ลูกโคนม ถ้าแลว่าลูกโคเหล่านี้เป็นลูกโคนมแล้ว พระภิกษุทั้งหลายก็จะได้นมโค พระภิกษุกล่าวคำโดยนัยเป็นอาทิดังนี้ แล้วเด็กเลี้ยงโคทั้งหลายนั้นก็ไปบอกบิดามารดา ยังมารดาแลบิดาให้ ๆ น้ำนมโคแก่ภิกษุกล่าวถ้อยคำดังนี้ ชื่อว่าโอภาสกรณ์กระทำโอภาส

   อนึ่ง พระภิกษุกล่าวกระทำให้ใกล้กล่าวกระซิบ ชื่อว่า สามันตชัปปนา

   เรื่องราวพระภิกษุอันเข้าไปสู่ตระกูล บัณฑิตพึงกล่าวในบท คือ สามันตชัปปนา นี้

   “กิร” ดังได้สดับมา พระภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปสู่ตระกูลแล้วปรารถนาจะบริโภค จึงเข้าไปนั่งอยู่ในเรือน อุบาสิกาเจ้าของเรือนเห็นภิกษุนั้นแล้วปรารถนาจะไม่ให้ไทยธรรม จึงกล่าวถ้อยคำว่าข้าวสารไม่มีกระทำอาการ ดุจดังว่าจะไปเที่ยวแสวงหาข้าวสารแล้วก็ไปสู่เรือนที่คุ้นเคยพระภิกษุนั้นก็เข้าไปในห้องเล็งแลดูที่ข้างนั้นข้างนี้ จึงเห็นอ้อยที่อุบาสิกาพิงไว้ที่แง้มประตู ดูไปอีกก็เห็นน้ำอ้อยที่อุบาสกใส่ไว้ในภาชนะเห็นปลาตำแบอยู่ในตะกร้า เห็นข้าวสารอยู่ในกระออม เห็นเปรียงในหม้อ พระภิกษุก็ออกมานั่งอยู่อุบาสิกาก็ร้องว่าหาข้าวสารไม่ได้แล้วก็กลับมา พระภิกษุจึงว่า ดูกรอุบาสิกา “อชฺช ภิกฺขา น สมฺปชฺชิสฺสติ” รูปเห็นเหตุเสียก่อนแล้วว่า วันนี้มีภิกขาหารจะไม่สำเร็จแก่อาตมา อุบาสิกาจึงถามว่าพระผู้เป็นเจ้าเห็นเหตุเป็นดังฤๅ พระภิกษุจึงกล่าวคำในที่ใกล้อุบาสิกาว่า อาตมาเห็นอสรพิษเหมือนลำอ้อยที่อุบาสิกาพิงไว้ที่แง้มประตู “ตํ ปหริสสามิ” อาตมาก็คิดว่าจะประหารอสรพิษจึงจับเอาก้อนศิลาเหมือนหนึ่งน้ำอ้อยที่อุบาสิกาใส่ไว้ในภาชนะ อสรพิษก็ทำพังพานเหมือนปลาตำแบที่อุบาสิกาใส่ไว้ในตะกร้า เหมือนอสรพิษดูดเอาก้อนศิลานั้น อาตมาก็เห็นฟันอสรพิษ เหมือนข้าวสารที่อุบาสิกาใส่ไว้ในกระออมในขณะนั้นอสรพิษโกรธก็พ่นพิษออกจากปาก เขฬะที่เจือด้วยพิษก็ไหลออกจากปากอสรพิษ อาตมาแลเห็นเหมือนเปรียงที่อุบาสิกาใส่ไว้ในหม้อ อุบาสิกาเจ้าของเรือนได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าเราไม่อาจลวงพระสมณะที่มีศีรษะอันโกน จึงเอาอ้อยออกมาถวายแล้วก็หุงโภชนะนำเข้าไปถวายกับปลาตำแบปิ้ง

   บัณฑิตพึงรู้ว่าิกิริยาที่พระภิกษุกระซิบกล่าวในที่ใกล้ดังนี้ ชื่อว่าสามันตชัปปนา

   ในบทปริกถานั้น มีอรรถสังวรรณนาว่า พระภิกษุได้วัตถุมีอโทนะ เป็นอาทิแล้่ว ก็เจรจาให้แลกเปลี่ยนด้วยวัตถุอื่น ๆ ที่ตนปรารถนา ชื่อว่าปริกถา กล่าวโอบอ้อมไปโดยภาคทั้งปวง


  
:: กลับด้านบน :: :: ย้อนกลับ ::     :: หน้าต่อไป ::


webmaster@larnbuddhism.com
23 June 2005 by 3 nang ©copyright 2005©larnbuddhism.com