มงคลที่ ๑๕
ทานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
การให้ เป็นอุดมมงคล

    ณ บัดนี้ จักได้วิสัชนาในมงคลที่ ๑๕ ตามพระบาลี และอรรถกถาดำเนินความว่า ทานัง นามะ ตีณิ ลักขณานิ เป็นต้น อธิบายความว่า ทานการให้มีลักษณะ ๓ ประการ คือ จาคเจตนาทาน ๑ วิรัตติทาน ๑ ไทยธรรมทาน ๑ เป็น ๓ ประการดังนี้

    จากเจตนาทานนั้น ได้แก่บุคคลที่มีศรัทธาเลื่อมใสคิดจะให้ซึ่งทาน ๑ วิรัตติทานนั้น ได้แกบุคคลที่มีหิริโอตตัปปะ ละเว้นในเบญจเวรทั้ง ๕ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์เป็นต้น ๑

    ไทยธรรมทานนั้น ได้แก่บุคคลมีศรัทธา ให้ข้าวน้ำ ผ้านุ่ง ผ้าห่มเป็นต้น ๑ ทานทั้ง ๓ ประการที่บังเกิดขึ้นในสันดานมนุษย์ทั้งปวงนั้น อาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นต้นเหตุนั้นอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งท่านว่า อาศัยอโลภะ ความไม่โลภเป็นต้นเหตุนั้นอย่างหนึ่ง

    อธิบายว่า บุคคลที่มีปัญญาพิจารณาเห็นบาปบุญคุณและโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ในเบื้องหน้า คือ เห็นว่าให้ทานรักษาศีลเป็นต้น ได้บุญได้กุศลก่อน นำมาซึ่งความสุข อย่างนี้เรียกว่า ปัญญาสัมมาทิฏฐิ บุคคลมาเห็นว่า บาปมี คือ ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ เป็นต้น ย่อมให้ผลเป็นทุกข์ อย่างนี้เรียกว่า ปัญญาสัมมาทิฏฐิ บุคคลอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ๑ และอาศัยความไม่โลภเจตนา ๑ เหตุทั้ง ๒ นี้มีแล้ว จึงจะคิดบริจากทาน ทานจะมีผลมากอาศัยเจตนาทั้ง ๓ คือ ปุพพเจตนา มีจิตเลื่อมใสคิดจะให้ซึ่งทานมีน้ำเป็นต้น ๑ มุญจะนะเจตนา มีความเลื่อมใสเมื่อขณะให้ทาน ๑ อะปะราปะระเจตะนา มีความเลื่อมใสในเมื่อให้ทานแล้ว ๑ ทั้ง ๓ นี้เรียกว่าสัปปทา ฯ

    วัตถุสัปมทานั้น คือ ไม่ลักฉ้อล่อลวงทรัพย์เขามาทำบุญ ทายกผู้ให้ทานมีองค์ ๒ คือ เจตนาสัมปทา ๑ วัตถุสัมปทา ๑

    ปฎิคาหกผู้รับทานมีองค์ ๒ คือ ผลสัมปทา เป็นพระอรหันต์ ๑ คุณาติเรกสัมปทา ออกจากสมาบัติ ๑

    ทานพร้อมไปด้วยองค์ ๔ คือ ผู้ให้ ๒ ผู้รับ ๒ ย่อมมีผลในชาตินี้ ถ้าไม่พร้อมด้วยองค์ ๔ ย่อมให้ผลในชาติหน้า อีกอย่างหนึ่งท่านว่า ทานพร้อมด้วยองค์ ๖ มีผลมาก คือ เจตนาให้ทานเป็นปุคคลิก ๓ เจตนาให้ทานเป็นสงฆ์ ๓ เป็น ๖ ดังนี้

    ทานการให้มี ๒ คือ ปฎิปุคคลิกทาน ให้ทานตามชอบใจของตน ๑ สังฆทาน ถวายเป็นสงฆ์ ๑ ปาฎิปุคคลิกทานมี ๑๔ คือ ให้ทานแก่สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ให้ทานแก่คนไม่มีศีล ๑ ให้แก่คนมีศีล ๑ ให้แก่ฤๅษีดาบส ๑ ให้แก่พระอริยเจ้า ๑๐ จำพวก มีพระโสดาบันเป็นต้น มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด เป็น ๑๔ ดังนี้

    ปาฎิปุคคลิกทานจะมีผลมากต้องพร้อมด้วยองค์ ๖ คือ ทายกประกอบด้วยเจตนาทั้ง ๓ ปฎิคาหกผู้รับไม่มีราคะ ๑ ไม่มีโทสะ ๑ ไม่มีโมหะ ๑ เป็น ๓ หรือมีความเพียรจะละราคะ โทสะ โมหะก็ดี สังฆทานการถวายเป็นสงฆ์มี ๓ อย่าง คือถวายแก่ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประทาน ๑ ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งสองฝ่าย ๑ ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์พวกเดียว ๑ ถวายทานแก่ภิกษุณีสงฆ์พวกเดียว ๑ ขอภิกษุสงฆ์ภิกษุณีสงฆ์ ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป ๑ ขอภิกษุสงฆ์ ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป ๑ ขอภิกษุณีสงฆ์ ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป เป็น ๗ ดังนี้

    อนึ่ง บุคคลที่จะถวายสังฆทานนั้น ให้ตั้งจิตอุทิศเฉพาะต่อพระอริยเจ้าอย่าตั้งจิตอุทิศแก่ ภิกษุปุถุชน อนึ่ง ขอสงฆ์แล้ว จะได้พระเถระมาก็ดี จะได้ภิกษุหนุ่มและสามเณรมาก็ดี อย่าดีใจอย่าเสียใจทำใจให้เป็นกลาง ๆ ถ้าดีใจหรือเสียใจก็จะไม่เป็นสังฆทาน ด้วยสังฆทานมีผลมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ในทักขิณาวิภังคสูตร แก่พระอานนท์ พระองค์ทรงปรารภพระนางมหาปชาบดีโคตมีเรื่องการถวายผ้าจีวรสาฏก....

            ย้อนกลับ         ปิดหน้านี้         ถัดไป