มงคลที่ ๑๑
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
การบำรุงมารดาบิดา เป็นอุดมมงคล

   บัดนี้ จักได้วิสัชนาแก้ไขในมงคลที่ ๑๑ ตามพระบาลี อรรถกถาดำเนินความว่า มาตาปิตุอุปัฏฐานัง เป็นต้น แปลว่า บุคคลหญิงชายใดที่เกิดมาได้ปฎิบัติมารดาบิดาให้เป็นสุข จัดว่าเป็นมงคลอันประเสริฐโดยวิเศษ

   ถามว่า คนอย่างไรเรียกว่า มารดาบิดา แก้ว่า หญิงใดที่เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ ยังสัตว์ให้เกิดหรือยังเจริญขึ้น หญิงนั้นเรียกว่า เป็นมารดา ชายใดยังสัตว์ให้บังเกิด หรือยังสัตว์ให้เจริญขึ้น ชายนั้นเรียกว่า บิดา

   ถามว่า คนที่เป็นบิดามารดานั้นมีคุณอย่างไร แก้ว่า คนที่เป็นบิดามารดานั้น มีคุณ ๔ ประการ ตามพระบาลีพุทธบรรหารว่า อุโภปิ เจ เต พรหมา เป็นต้น ความว่า บิดามารดาทั้ง ๒ นั้นจัดชื่อว่า เป็นพรหม ๑ จัดชื่อว่า เป็นบุรุพเทพยดา ๑ จัดชื่อว่า เป็นบุพพาจารย์ ๑ จัดชื่อว่า เป็นอาหุเนยยะ ๑ ยกเป็นคุณ ๔ ประการ ดังนี้

   ที่จัดว่าเป็นพรหม คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คุณ ๔ ประการนี้ บิดามารดาย่อมมีแก่บุตรเหมือนท้าวมหาพรหม อธิบายว่า เมื่อแรกสัตว์อยู่ในครรภ์ บิดามารดาทั้งสองนั้นประกอบไปด้วยเมตตา อยากจะให้ทารกเจริญวัฒนามีความสุข ไม่คิดจะให้ทารกเสวยความทุกขเวทนา อุตสาห์รักษาถนอมครรภ์ทุกคืนวัน

   ครั้นทารกนั้นคลอดจากครรภ์จะเป็นหญิงหรือชาย มารดาบิดาก็มีจิตกรุณารักษาเลี้ยงดู ยกขึ้นชูใส่เปลไกล ทั้งป้องกันริ้นไร เหลือบยุง และบุ้งร่าน ลมและแดดมิให้มาแผ้วพานต้องการ ครั้นทารกเจริญวัยใหญ่ขึ้นมาจะปราถนาสิ่งใด มารดาบิดาบิดาก็หาให้ด้วยน้ำใจเป็นมุทิตา แก่บุตรของอาตมาที่เลี้ยงไ้ว้ ครั้นบุตรหญิงชายโตใหญ่มีสามีภรรยา บิดามารดาก็มีจิตเป็นอุเบกขา ไม่ต้องพิทักษ์รักษาเหมือนแต่ก่อน

   ที่ ๒ ว่า มารดาบิดาเป็นบุพพเทพยดา คือ ได้พิทักษ์รักษาทารกนั้น มาก่อนกว่าเทพยดาทั้งปวงตั้งแต่อยู่ในครรภ์มา

   ที่ ๓ ว่า มารดาบิดาเป็นบุพพาจารย์นั้น ได้ให้โอวาทคำสั่งสอนแก่ทารกนั้นมาก่อนกว่าอาจารย์ทั้งปวง

   ที่ ๓ ว่า มารดาบิดาเป็นอาหุเนยยะนั้น คือ มารดาบิดาควรจะรับของที่บุตรนำมาให้ เป็นต้นว่า ข้าวน้ำ ผ้าผ่อนท่อนสไบ ฟูกหมอน เสื่อสาด อาสนะ ที่บุตรหญิงชายสละนำมาบูชา

   ถามว่า ของที่บุตรหญิงชายนำมาบูชาแก่บิดามารดานั้น จะมีผลอย่างไร แก้ว่า มีผลมาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุผู้ปฎิบัติมารดาบิดาว่า ดูก่อนภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ท่านไปเที่ยวบิณฑบาตได้อาหารยังไม่ได้ฉันเลย จะให้แก่บิดามารดาก็ควร ไม่เป็นอาบัติด้วยศรัทธาไทยข้อ ๑ ข้อ ๒ ว่า บิดามารดาตั้งอยู่ในองค์ ๕ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แก่บุตรทั้งหลาย คล้ายพระอรหันต์ เพราะเหตุนั้น จึงเห็นว่าบุตรแก่บูชาบิดามารดาก็เหมือนดังว่า บูชาแก่พระอรหันต์

   อนึ่ง บุตรฆ่าบิดามารดากับฆ่าพระอรหันต์ ย่อมมีโทษเท่ากันให้ถึงอเวจี ถามว่า บุตรหญิงชายจะอุปัฏฐากแก่บิดามารดามีกี่อย่าง แก้ว่า มี ๒ อย่าง คือ อุปัฏฐากอย่างสูง ๑ อุปัฏฐากอย่างต่ำ ๑ อุปัฏฐากอย่างสูงนั้น คือ บิดามารดาไม่มีความศรัทธาเลื่อมใสคุณพระรัตนตรัย ก็ไปชักชวนอ้อนวอนให้บิดามารดามีความศรัทธาเลื่อมใสในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดำรงอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ๑

   ที่ ๒ บิดามารดาไม่มีศีลวิรัติข้อปฎิบัติ คือ ไม่มีศีล ๕ ศีล ๘ ประการ ก็ไปอ้อนวอนชักชวนให้บิดามารดาสมาทานรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ประการ ให้สมบูรณ์ในสันดาน ๑

   ที่ ๓ บิดามารดาไม่ได้สดับฟังพระธรรมเทศนา เป็นคนมืดมนธ์ไปด้วยอกุศลใจพาลา ก็ไปชักชวนบิดามารดาฟังธรรมเทศนาให้รู้จักบาป บุญ คุณและโทษ จะได้แสวงหาประโยชน์ไปในชาติหน้า ๑

   ที่ ๔ บิดามารดาไม่ได้บริจากทาน ด้วยสันดานตระหนี่เหนียวแน่นหวงแหนทรัพย์ไว้ไม่ให้ทาน ก็ไปวิงวอนด้วยคำอ่อนหวานให้บิดามารดาบริจากทานการกุศล ๑

   ที่ ๕ บิดามารดาไม่มีปัญญาพิจารณาซึ่งสังขารมือมนธ์อนธการอยู่ด้วยอวิชชาโมหะหุ้มห่อไว้ จึงเข้าไปอ้อนวอนชักนำสั่งสอนให้บิดามารดามีปัญญา ละอวิชชาโมหมูลให้เสื่อมสูญจากสันดาน จะได้ยกจิตขึ้นสู่พระกรรมฐาน คือ สมถะและวิปัสสนาให้เกิดปัญญาอย่างวิเศษ จะได้ละซึ่งกิเลสให้สิ้นไป โดยนัยดังวิสัชนามาฉะนี้ บุตรหญิงชายทั้งหลายใครได้ปฎิบัติบิดามารดาดังพรรณนามาฉะนี้ จัดเป็นมงคลอันประเสริฐโดยวิเศษ เหตุจัดเข้าในปฎิบัติบูชา เหมือนพระสารีบุตรไปสั่งสอนมารดาให้ตั้งอยู่ในศรัทธาและศีลเป็นต้น..

            ย้อนกลับ         ปิดหน้านี้         ถัดไป