ปัญจาวุธชาดก
   พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อนรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

   พระบรมศาสดา ตรัสเรียกภิกษุนั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ จริงหรือที่เขาว่า เธอเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน เมื่อเธอกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลาย กระทำความเพียรในที่ ๆ ควร ประกอบความเพียร ก็ได้บรรลุถึงราชสมบัติได้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.

   ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในคัพโภทรพระอัครมเหสี ของพระราชาพระองค์นั้น ในวันที่จะถวายพระนามพระโพธิสัตว์ ราชตระกูลได้เลี้ยงพราหมณ์ ๑๐๘ ให้อิ่มหนำด้วยของที่น่าปรารถนาทุก ๆ ประการ แล้วสอบถามลักษณะของพระกุมาร พวกพราหมณ์ผู้ฉลาดในการทำนายลักษณะ เห็นความสมบูรณ์ด้วยลักษณะแล้ว ก็พากันทำนายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระกุมารสมบูรณ์ด้วยบุญญาธิการ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว จักต้องได้ครองราชสมบัติ จักมีชื่อเสียงปรากฏด้วยการใช้ อาวุธ ๕ ชนิด เป็นอรรคบุรุษในชมพูทวีปทั้งสิ้น

   เพราะเหตุได้ฟังคำทำนายของพราหมณ์ทั้งหลาย เมื่อจะขนานพระนาม ก็เลยขนานให้ว่า "ปัญจาวุธกุมาร" ครั้นพระกุมารนั้นถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว มีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา พระราชาตรัสเรียกมา แล้วรับสั่งว่า ลูกรัก เจ้าจงเรียนศิลปศาสตร์เถิด พระกุมารกราบทูลถามว่า กระหม่อมฉันจะเรียนในสำนักของใครเล่า พระเจ้าข้า พระราชารับสั่งว่า ไปเถิดลูก จงไปเรียนในสำนัก อาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ ตักกสิลานคร แคว้นคันธาระ และ พึงให้ทรัพย์นี้เป็นค่าบูชาคุณอาจารย์แก่ท่านด้วย แล้วพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันส่งไปแล้ว

   พระราชกุมารเสด็จไปในสำนักทิศาปาโมกข์นั้น เมื่อทรงทรงศึกษาศิลปะสำหรับอาวุธ ๕ ชนิดที่ อาจารย์ให้สำเร็จแล้ว ก็ทรงกราบลาอาจารย์ออกจากนครตักกสิลา เหน็บอาวุธทั้ง ๕ กับพระกาย เสด็จดำเนินไปทางเมืองพาราณสี พระองค์เสด็จมาถึงดงตำบลหนึ่ง เป็นดงที่สิเลสโลมยักษ์สิงสถิตอยู่ ครั้งนั้นพวกมนุษย์เห็นพระกุมารที่ปากดง พากันห้ามว่า พ่อมาณพผู้เจริญ ท่านอย่าเข้าไปสู่ดงนี้ ในดงนั้นมียักษ์ชื่อ สิเลสโลมะสิงอยู่ มันทำให้คนที่มันพบเห็นตายมามากแล้ว.

   พระโพธิสัตว์ ระวังพระองค์ไม่ครั่นคร้ามเลย มุ่งเข้าดงถ่ายเดียว เหมือนไกรสรราชสีห์ ผู้ไม่ครั่นคร้ามฉะนั้น พอไปถึงกลางดง ยักษ์ตนนั้นมันก็แปลงกาย สูงชั่วลำตาล ศีรษะเท่าเรือน นัยน์ตาแต่ละข้างขนาดเท่าล้อเกวียน เขี้ยวทั้งสองแต่ละข้าง ขนาดเท่าหัวปลีตูม หน้าขาว ท้องด่าง มือเท้าเขียว แล้วสำแดงตนให้พระโพธิสัตว์เห็น ร้องว่า เจ้าจะไปไหน ? หยุดนะ เจ้าต้องเป็นอาหารของเรา

   ครั้งนั้น...... พระโพธิสัตว์ ตวาดด้วยพระสุรเสียง ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสามภพ.....ว่า ไอ้ยักษ์

   เราเตรียมตัวแล้วจึงเข้ามาในดง เจ้าอย่าเผลอตัวเข้ามาใกล้เรา เพราะเราจะยิงเจ้าด้วยลูกศรอาบยาพิษ ให้ล้มลงตรงนั้นแหละ แล้วใส่ลูกศรอาบยาพิษอย่างแรงยิงไป ลูกศรไปติดอยู่ที่ขนของยักษ์ทั้งหมด พระโพธิสัตว์ปล่อยลูกศรไปติด ๆ กัน ลูกแล้วลูกเล่า ทยอยออกไปด้วยอาการอย่างนี้ สิ้นลูกศรถึง ๕๐ ลูก ทุก ๆ ลูกไปติดอยู่ที่ขนของมันเท่านั้น

   ยักษ์สลัดลูกศรทั้งหมด ให้ตกลงที่ใกล้ ๆ เท้าของมันนั่นแหละ แล้วรี่เข้าหาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กลับตวาดมันอีก แล้วชักพระขรรค์ออกฟัน พระขรรค์ยาว ๓๓ นิ้วก็ติดขนมันอีก ทีนั้นจึงแทงมันด้วยหอกซัด แม้หอกซัดก็ติดอยู่ที่ขนนั่นเอง ครั้นพระโพธิสัตว์ทราบอาการที่มันมีขนเหนียวแล้ว จึงตีด้วยตระบอง แม้ตระบองก็ไปติดที่ขนของมันอีกนั่นแหละ พระโพธิสัตว์ทราบอาการที่มันมีตัวเหนียว ก็สำแดงสีหนาทอย่างไม่ครั่นคร้าม ประกาศก้องร้องว่า เฮ้ยไอ้ยักษ์ เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเรา ผู้ชื่อว่าปัญจาวุธกุมารเลยหรือ ? เมื่อเราจะเข้าดงที่เจ้าสิงอยู่ ก็เตรียมอาวุธมีธนูเป็นต้นเข้ามา เราเตรียมพร้อมเข้ามาแล้วทีเดียว วันนี้เราจักตีเจ้าให้แหลกเป็นจุณวิจุณไปเลย พลางโถมเข้าต่อยด้วยมือข้างขวา มือข้างขวาก็ติดขน ต่อยด้วยมือซ้าย มือซ้ายก็ติดอีก เตะด้วยเท้าขวา เท้าขวาก็ติด เตะด้วยเท้าซ้าย เท้าซ้ายก็ติด คิดว่าต้องกระแทกให้มันแหลกด้วยศีรษะ แล้วก็กระแทกด้วยศีรษะ แม้ศีรษะก็ไปติดที่ขนของมันเหมือนกัน พระโพธิสัตว์ ติดตรึงแล้วในที่ทั้ง ๕ แม้จะห้อยโตงเตงอยู่ ก็ไม่กลัวไม่สะทก สะท้านเลย.

   ยักษ์จึงคิดว่า บุรุษนี้เป็นเอก เป็นดุจบุรุษสีหะ เป็นบุรุษอาชาไนย ไม่ใช่บุรุษธรรมดา ถึงจะถูกยักษ์อย่างเราจับไว้ แม้มาดว่าความสะดุ้งก็หามีไม่ ในทางนี้เราฆ่าคนมามาก ไม่เคยเห็นบุรุษอย่างนี้สักคนหนึ่งเลย เพราะเหตุไรหนอ บุรุษนี้ จึงไม่กลัว ? ยักษ์ไม่อาจจะกินพระโพธิสัตว์ได้ จึงถามว่า ดูก่อน มาณพ เพราะเหตุไรหนอท่านจึงไม่กลัวตาย พระโพธิสัตว์ตอบ ว่า ยักษ์เอ๋ย ทำไมเราจักต้องกลัว เพราะในอัตภาพหนึ่ง ความตายนั้นเป็นของแน่นอนทีเดียว อีกประการหนึ่งในท้องของเรา มีวชิราวุธ ๑ ถ้าเจ้ากินเรา ก็จักไม่สามารถทำให้อาวุธนั้นย่อยได้ อาวุธนั้น จักต้องบาดไส้พุงของเจ้าให้ขาดเป็นชิ้น ๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ทำให้เจ้าถึงสิ้นชีวิตได้ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ เราก็ต้องตายกันทั้งสองคน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่กลัวตาย

   ๑ นัยว่า คำว่า วชิราวุธนี้ พระโพธิสัตว์ตรัสหมายถึง อาวุธคือญาณในภายในของพระองค์

   ยักษ์ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า มาณพนี้คงพูดจริงทั้งนั้น ชิ้นเนื้อแม้ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว จากร่างกายของบุรุษสีหะผู้นี้ ถ้าเรากินเข้าไปในท้องแล้ว จักไม่อาจให้ย่อยได้ เราจักปล่อยเขาไป ดังนี้แล้ว เกิดกลัวตาย จึงปล่อยพระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า พ่อมาณพ ท่านเป็นบุรุษสีหะ เราจักไม่กินเนื้อของท่านละ ท่านพ้นจากเงื้อมมือของเรา เหมือนดวงจันทร์พ้นจากปากราหู เชิญท่านไปเถิด มวลญาติมิตรจะได้ดีใจ

   ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงตรัสกะยักษ์ว่า ดูก่อนยักษ์ เราต้องไปก่อน ส่วนท่านได้กระทำอกุศลไว้ในครั้งก่อนแล้ว จึงได้เกิดเป็นผู้ร้ายกาจ มืออาบด้วยเลือด มีเลือดเนื้อของคนอื่นเป็นภักษา แม้ถ้าท่านดำรงอยู่ในอัตภาพนี้ ยังจักกระทำอกุศลกรรมอยู่อีก ก็จักไปสู่ความมืดมนจากความมืดมน นับแต่ท่านพบเราแล้ว เราไม่อาจปล่อยให้ท่านทำอกุศลกรรมอยู่ได้ แล้วจึงตรัสโทษของทุศีลกรรมทั้ง ๕ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า

   ขึ้นชื่อว่ากรรม คือการยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ย่อมทำสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดเดียรัจฉาน ในเปตวิสัย และในอสุรกาย ครั้นมาเกิดในมนุษย์เล่า ก็ทำให้เป็นคนมีอายุสั้น แล้วทรงแสดงอานิสงส์ของศีลทั้ง ๕ ขู่ยักษ์ด้วยเหตุต่าง ๆ ทรงแสดงธรรม ทรมาน จนยักษ์หมดพยศร้าย ชักจูงให้ดำรงอยู่ในศีล ๕ กระทำยักษ์นั้นให้เป็นเทวดารับพลีกรรมในดงนั้น แล้วตักเตือนด้วยอัปปมาทธรรม ออกจากดง บอกแก่มนุษย์ที่ปากดง สอดอาวุธทั้ง ๕ ประจำพระองค์ เสด็จไปสู่กรุงพาราณสี เฝ้าพระราชบิดา พระราชมารดา ภายหลังได้ครองราชย์ ก็ทรงปกครองโดยธรรม ทรงบำเพ็ญบุญมีทานเป็นต้น เมื่อสวรรคตก็เสด็จไปตามยถากรรม.

   พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ครั้นตรัสแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ใจความว่า :

   นรชนผู้ใด มีจิตไม่ท้อแท้ มีใจไม่หดหู่

   บำเพ็ญกุศลธรรม เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ

   นรชนผู้นั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างโดยลำดับ"

   ในพระคาถานั้น ประมวลความได้ดังนี้ : บุรุษใดมีใจ ไม่หดหู่ คือไม่ท้อแท้รวนเร มีใจไม่หดหู่โดยปกติ เป็นผู้มีอัธยาศัย แน่วแน่มั่นคง จำเริญเพิ่มพูนธรรม ที่ได้ชื่อว่ากุศล ได้แก่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เพราะเป็นธรรมที่ปราศจากโทษ บำเพ็ญวิปัสสนาด้วยจิตอันกว้างขวาง เพื่อบรรลุความเกษม จากโยคะทั้ง ๔ คือ พระนิพพาน บุรุษนั้นยกขึ้นซึ่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสังขารทั้งมวลอย่างนี้แล้ว ยัง โพธิปักขิยธรรมที่เกิดขึ้นจำเดิมแต่วิปัสสนายังอ่อนให้เจริญ พึงบรรลุพระอรหัตผลอันถึงการนั้นว่า ความสิ้นสังโยชน์ทุก อย่าง เพราะบังเกิดแล้วในที่สุดแห่งมรรคทั้ง ๔ อันเป็นเหตุ ิสิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งหมด มิได้เหลือเลยแม้สักสังโยชน์เดียว โดยลำดับ.

   พระบรมศาสดา ทรงถือเอายอดพระธรรมเทศนา ด้วย พระอรหัตผลด้วยประการฉะนี้ ในที่สุดทรงประกาศ จตุราริยสัจ (อริยสัจ ๔) ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุนั้นได้บรรลุพระอรหัตผล แม้พระบรมศาสดา ก็ทรงประชุมชาดกว่า ยักษ์ในครั้งนั้นได้มาเป็นพระองคุลิมาล ส่วนปัญจาวุธกุมารได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

   จบ ปัญจาวุธชาดก

← ย้อนกลับ        ปิดหน้านี้          ถัดไป →