มงคลที่ ๓๗
วิระชัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
จิตอันปราศจากธุลี คือ กิเลส เป็นอุดมมงคล

    วิระชัง นามะ อะระหัตธัง ปาปุณิ กะตะโม ระโช ระชา นามะ ราคะโทสะ โมหะทะโย ปุถุชชะโน ระโช อะภิภูโต อะโหสีติ.

    บัดนี้ จักวิสัชนาในมงคลที่ ๓๗ ตามพระบาลีและอรรถกถาว่า วิระชัง นามะ อะระหัตตัง ปาปุณิ แปลว่า บุคคลใดถึงพระอรหัต บุคคลนั้นชื่อว่า ปราศจากธุลี

    ถามว่า อะไรจึงเรียกว่าธุลี แก้ว่า ราคะความกำหนัดยินดีในกามคุณทั้ง ๕ จัดเป็นธุลีอย่างหนึ่ง โทสะ ความโกรธประทุษร้ายแก่สัตว์ และสังขารจัดเป็นธุลีอย่างหนึ่ง โมหะ คือ อวิชชาความมืดมนอนธการไม่รู้เท่าทันในสังขาร จัดเป็นธุลีอย่างหนึ่ง ความว่า ราคะ โทสะ โมหะเป็นต้น เหล่านี้จัดเป็นธุลีทั้งนั้น

    บุคคลใดไม่มีความเศร้าหมองในสันดาน จัดเป็นมงคลอันประเสริฐเลิศกว่ามงคลทั้งปวง มีคุณใหญ่แก่สรรพสัตว์ ด้วยพระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พระจูฬปันถกว่า ราโค ระโช ปะนะ เรณู วุจจะติ ความว่า พระพุทธองค์ประทับอยู่ในเรือนแ่ห่งหมอชีวกโกมารภัจจ์ ทรงตรัสแก่พระจูฬบันถกว่า ดูก่อนจูฬบันถก ราคะความกำหนัดเป็นต้น พระตถาคตเรียกว่า ระโช เป็นธุลีเครื่องเศร้าหมองในใจ ไม่ให้สัตว์มีความบริสุทธิ์ได้ อนึ่ง ธุลีมี ๓ ประการ คือ ธุลีภายนอก ได้แก่ละอองผงเถ้าธุลีที่ลอยมาตามลม ถูกต้องกายนรชนให้เศร้าหมอง ๑ ธุลีภายใน คือ ราคะ โทสะ โมหะ ทำจิตของสัตว์ทั้งหลายให้เศร้าหมอง ๑

    ถามว่า ราคะ โทสะ โมหะ ทำจิตให้เศร้าหมองอย่า่งไร แก้ว่า ทำจิตให้เศร้าหมองมาแต่จุติปฎิสนธิวิญญาณ อธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายตายด้วยโลภมูล ก็ปฎิสนธิวิญญาณด้วยโลภมูล สัตว์ทั้งหลายตายด้วยโทสมูล ก็ปฎิสนธิวิญญาณด้วยโทสมูล สัตว์ทั้งหลายที่ตายด้วยโมหมูล ก็ปฎิสนธิวิญญาณด้วยโมหมูล

    ความว่า สัตว์ทั้งหลายที่เป็นปุถุชน ทำกุศลและอกุศลด้วยจิตเป็นกามาวจร อย่างอ่อนหรืออย่างกล้า เมื่อใก้ลจะตาย จิต เจตสิก กามาวจรทั้งหลายก็มาประชุมตามทวารทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อจะให้บังเกิดเป็นบุพพนิมิต เมื่อสัตว์ทั้งหลายใกล้จะดับจิตคิดถึงบาป นิมิตบาปก็เกิดขึ้น จิตคิดถึงบุญ นิมิตที่เป็นบุญก็เกิดขึ้น

    นิมิตที่เป็นบุญมี ๓ คือ กรรม ๑ กรรมนิมิต ๑ คตินิมิต ๑ กรรมนั้นได้แก่กุศลที่บุคคลทำไว้ในชาตินี้ให้ระลึกได้เมื่อใกล้จะตาย ก็นำปฎิสนธิวิญญาณในสุคติ ๑ กรรมนิมิตนั้น ได้แก่กุศลที่แรงกล้ามาบันดาลขึ้นในมโนทวารให้เห็นพระพุทธรูป พระเจดีย์ พระภิกษุสามเณร พระอุปัชฌาย์อาจารย์เป็นต้น ก็นำปฎิสนธิวิญญาณในสุคติ ๑ คตินิมิตนั้น คือ ให้เห็นวิมานแก้ว วิมานทองเป็นต้น บังเกิดในมโนทวาร ให้มีความยินดีถือเอานิมิตนั้น ก็นำปฎิสนธิวิญญาณในสุคติ ๑

    นิมิตอกุศลก็มี ๓ คือ กรรม ๑ กรรมนิมิต ๑ คตินิมิต ๑ กรรมนั้น ได้แก่บาปที่บุคคลทำในชาตินี้ ให้ระลึกได้เมื่อใกล้จะตาย ก็นำปฎิสนธิวิญญาณในทุคติ ๑ กรรมนิมิตนั้น ได้แก่บาปที่แรงกล้ามาบันดาลให้บังเกิดในมโนทวาร เห็นสัตว์ต่าง ๆ ที่ตนได้ฆ่าได้ประหารไว้แต่ก่อน จิตก็ถือเอาปฎิสนธิวิญญาณในทุคติ ๑ คตินิมิตนั้น คือ ให้เห็นเปลวไฟในนรกและเห็นนายนิรยบาลเป็นต้น บังเกิดขึ้นในมโนทวาร ให้มีความยินดีถือเอาซึ่งนิมิตนั้นนำปฎิสนธิในทุตติ ๑

    ถามว่า นิมิตทั้ง ๓ เกิดขึ้นด้วยอะไร แก้ว่า ฝ่ายบุญบังเกิดขึ้นด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จิตตั้งอยู่ในกามาวตจรกุศล จึงให้บังเกิดด้วยนิมิตอันดีเป็นวิถีทางสุคติของสัตว์ทั้งปวง นิมิตฝ่ายบาปนั้นบังเกิดขึ้นด้วยโลภะ โทสะ โมหะ คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภให้เกิดราคะ ความกำหนัดยินดีในกิเลสกามและวัตถุกามเป็นต้น ความโกรธทำให้เกิดประทุษร้ายแก่สัตว์และสังขาร ความหลงให้มืดมนอนธกาล ปกปิดตัวปัญญาไม่พิจารณาให้รู้เท่าทันในสังขาร

    อกุศลธรรม ๓ ประการ ให้บังเกิดชั่วร้าย คือ จะนำสัตว์ทั้งหลายไปสู่อบายทั้ง ๔ ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ทั้ง ๓ นี้เป็นธุลีเครื่องเศร้าหมองของสัตว์ นำสัตว์ให้ไปสู่อบาย เหมือนจอกแหนลอยไปตามกระแสแห่งน้ำไหลให้ไปสู่ท้องมหาสมุทรฉะนั้น ฯ

    ด้วยโทษแห่งอกุศล ๓ ประการ ที่จะนำสัตว์ให้ปฎิสนธิวิญญาณ ในอบายด้วยโลภมูล โทสมูล โมหมูล ทั้ง ๒ นี้ มีในพระบาลีและอรรถกถาว่า บุคคลทำลายสังขารโดยโลภเจตนาในกิเลสกามและวัตถุกาม ย่อมให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานเหมือนดังเช่นนิทานโบราณกาลมาเรื่องบุรุษสองคนพี่น้อง เรื่องทุฏฐราชกุมาร ฯลฯ เป็นต้น..

            ย้อนกลับ         ปิดหน้านี้         ถัดไป