นิทานอิงธรรม

อย่าวางใจคน จะจนใจเอง

    ในสมัยของพระเจ้าพรหมทัต ฯ แห่งกรุงพาราณสีแคว้นกาสี พระโพธิสัตว์เจ้าได้เกิดมาเป็นบุตรของพ่อค้า ซึ่งใช้เกวียนเดินทางค้าขายสินค้าระหว่างเมืองต่าง ๆ เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าเติบโตก็ได้ประกอบอาชีพนี้ตามตระกูลของตน มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์ได้จัดสัมภาระลงเกวียนห้าร้อยเล่ม กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางจากกรุงพาราณสีไปค้าขายยังเมืองอื่น แต่ว่าได้มีพ่อค้าอีกคนหนึ่งจัดของลงเกวียนห้าร้อยเล่มเช่นกัน และกำลังจะออกเดินทางไปพร้อมกัน จึงทำให้พระโพธิสัตว์ดำริว่า “ ถ้าเขาจะไปพร้อมกันแล้ว เกวียนก็จะไปด้วยกันถึงพันเล่ม ทางก็จะมีไม่พอ ฟืนและน้ำที่ต้องใช้ตามทางก็จะไม่พอ หญ้าสำหรับโคก็จะหายาก ดังนั้นจึงไม่ควรไปพร้อมกัน”

     พระโพธสัตว์คิดได้ดังนั้น จึงได้เข้าไปพูดคุยกับพ่อค้าผู้นั้นว่า “ ข้าแต่ท่านผู้เป็นสหาย ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าเราเทั้งสองจะออกเดินทางไปพร้อมกันก็จะเป็นการไม่สะดวกสบายเพราะ ฟืน น้ำ และหญ้าสำหรับการเดินทางจะไม่เพียงพอ ท่านจะออกไปก่อนหรือว่าจะไปทีหลังข้าพเจ้า ” พ่อค้าผู้นั้นคิดในใจว่า “ ถ้าเราจะออกไปก่อน เราก็จะได้ประโยชน์มาก หนทางก็จะไม่ถูกเกวียนบดแตกเป็นฝุ่น โคก็จะได้กินหญ้าที่ยังไม่เป็นเดนเหลือ ผักข้าวเครื่องแกงสำหรับพวกผู้คนก็จะยังไม่มีใครเก็บ น้ำก็ยังจะใส เมื่อไปถึงเมืองต่าง ๆ แล้วเราก็จะตั้งราคาจำหน่ายสินค้าได้ตามชอบใจ” ครั้นเมื่อไต่ตรองเห็นเช่นนี้แล้ว จึงตอบว่า “ ถ้าอย่างนั้นข้าพเจ้าก็จะขอไปเดินทางไปก่อน”

     ฝ่ายพระโพธิสัตว์เจ้าเมื่อทราบดังนั้นก็ตรองว่า “ คนที่ไปก่อนล่วงหน้าก็จักทำถนนที่ไม่เรียบให้เรียบ เราก็จะเดินทางด้วยถนนอันเป็นทางราบเรียบที่มีคนทำไว้แล้ว โคที่ไปก่อนล่วงหน้านั้นก็จะได้กินหญ้าแก่จนแข็ง แต่โคที่ไปทีหลัง นั้นก็จะได้กินหญ้าที่อ่อนหญ้าที่งอกขึ้นมาใหม่ ๆ กำลังอร่อย คนที่ไปก่อนนั้นก็จะได้ไปเก็บกินผักที่แก่เหนียว แต่ถ้าเราไปทีหลังก็จะได้ผักงอกใหม่ ๆ กำลังอร่อย คนที่ไปก่อนนั้นถ้าไม่มีแหล่งน้ำก็ต้องขุดหา แต่ถ้าไปทีหลังก็จะได้ดื่มน้ำบ่อน้ำที่มีคนขุดไว้แล้ว และถ้าไปถึงยังเมืองต่าง ๆ คนที่ไปก่อนนั้นก็จะต้องตั้งราคาสิ้นค้า แต่ถ้าเราไปทีหลังก็ไม่ต้องตั้ง ก็ขายตามราคาที่ตั้งไว้แล้ว” คิดได้ดังนี้แล้วพระโพธิสัตว์จึงยอมให้พ่อค้าผู้นั้นออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน

     ในสมัยนั้น การเดินทางไกลจะต้องผ่านแดนกันดารต่าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย อุปสรรค ๕ ประการคือ   โจรกันดาร   เป็นทางที่มีโจรคอยปล้นอยู่   วาฬกันดาร  เป็นทางที่มีสัตว์ร้ายชุมชุม เช่น เสือ สิงโต ฯลฯ   นิรุทกกันดาร  เป็นทางที่แล้งน้ำ   อมนุสสกันดาร   เป็นทางที่มีอมนุษย์อยู่ชุกชุม และ   อัปปภักขกันดาร   เป็นทางที่ไม่มีของที่กินได้ พ่อค้าผู้นั้นได้เดินทางมาถึงถิ่นกันดารแล้งน้ำ และเต็มไปด้วยภูติอมนุษย์ต่าง ๆ เหล่าภูติอมนุษย์นั้นเมื่อเห็นคณะพ่อค้าและคารวานบรรทุกสินค้ากว่า ๕๐๐ เล่มเดินทางมา จึงคิดจะจับทั้งคนและโคกินให้หมด แต่ว่าก่อนจะจับกินได้ก็ต้องทำให้คณะพ่อค้าหมดแรงเสียก่อน

     ว่าแล้วจึงได้ออกอุบาย เนรมิตแนวป่าให้เขียวชะอุ่มขึ้น และจำแลงตนเป็นพ่อค้าและบริวารบรรทุกสินค้ามาเหมือนกัน โดยมีล้อที่เปื้อนดินเปื้อนโคลน และมีตัวอันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำทำเป็นเดินสวนทางมา ภูติอมนุษย์เหล่านั้นก็พูดจาหว่านล้อมทำนองเป็นผู้หวังดีต่อคณะพ่อค้านั้นว่า “ ท่านผู้เป็นสหายจะบรรทุกน้ำทั้งหลายเหล่านี้ให้หนักไปทำไม ไม่เห็นหรือว่า ทางข้างหน้านั้นมีป่าอันเขียวชะอุ่มสมบูรณ์เชียว ตัวพวกข้าพเจ้าก็เพิ่งจะเล่นน้ำกันมาจนตัวเปียกชุ่ม พวกท่านบรรทุกน้ำไปก็หนักเสียเปล่า ๆ พวกท่านจงทำลายตุ่มน้ำทิ้งเสียเถอะ เพราะน้ำข้างหน้านั้นมีให้กินให้ใช้กันตลอดทาง”

     เมื่อคณะพ่อค้าได้ยินดังนั้น ต่างก็พากันเห็นดีเห็นงามด้วย พากันทุบทำลายตุ่มน้ำทิ้งเสียจนหมดสิ้น แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังแหล่งน้ำตามที่เหล่าภูติอมนุษย์ได้บอกไว้ แต่ทว่าเดินทางมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็ไม่มีแหล่งน้ำดั่งที่เหล่าภูติอมนุษย์ได้บอกไว้เลย คณะพ่อค้าและโคต่างก็พากันกระหายน้ำจึงได้โรยราอ่อนแรงหมดกำลังลงไม่มีกำลังแม้จะต่อสู้ป้องกันตัวเอง ทำให้พวกภูติอมนุษย์เหล่านั้นออกมาจับคณะพ่อค้ากินจนหมด

     หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมา พระโพธิสัตว์เจ้าก็ได้ออกเดินทางมายังเส้นทางเดินเดียวกับพ่อค้าผู้โง่เขลาคนก่อน เมื่อคารวานของพระโพธิสัตว์เดินทางมาถึงปากทางเข้าสู่แดนกันดาร พระโพธิสัตว์สั่งให้พ่อค้าบริวารเหล่านั้นตักน้ำใส่ตุ่มไว้ให้เยอะที่สุด และเรียกประชุมคณะพ่อค้าบริวารของพระองค์ว่า “ ขอพวกท่านจงอย่าใช้น้ำแม้แต่หยดเดียว ถ้าจะใช้ขอให้พวกท่านจงมาบอกแก่เราก่อน ถ้าระหว่างทางเจอใบดอกผลไม้ที่ไม่เคยบริโภคมาก่อน ขอท่านทั้งหลายจงอย่ากินเด็ดขาด ขอท่านทั้งหลายจงมาถามเราก่อนบริโภคเถิด ”

     จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไป เดินทางมาได้ระยะหนึ่ง คารวานของพระโพธิสัตว์เจ้าก็มาเจอกับคารวานของพวกภูติอมนุษย์ที่ทำทีเป็นว่าเดินทางสวนมา โดยพวกภูติอมนุษย์พยายามพูดหว่านล้อมต่าง ๆ นานา ๆ ให้ทุบทำลายภาชนะที่ใส่น้ำนั้นเสีย หวังที่จะให้คณะของพระโพธิสัตว์เจ้ากระทำเหมือนกับพวกพ่อค้าผู้โง่เขลาคนก่อน พระโพธิสัตว์เจ้าจึงได้เรียกประชุมแล้วตรัสว่า “ ขอให้พวกท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูเอาเถิด เราต่างก็เคยได้ยินได้ทราบกันมาแล้วว่า ดินแดนเขตแห่งนี้นั้นเป็นที่แล้งน้ำนัก แล้วอยู่ ๆ จะมามีน้ำมากมายได้อย่างไรกัน”

     พระโพธิสัตว์และคณะบริวารจึงไม่ทำลายภาชนะตุ่มน้ำ แล้วก็รีบออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไป พอไปได้สักระยะหนึ่ง คารวานของพระองค์ก็ได้มาพบกับเกวียนห้าร้อยเล่มและโครงกระดูกของคารวานพ่อค้าผู้โง่เขลาคนก่อน ที่หลงเชื่อพวกภูติอมนุษย์ทำลายภาชนะตุ่มน้ำอันเป็นเสบียงที่จำเป็นนั้นเสียจนทำให้พวกของตนถึงชีวิตพบจุดจบอย่างน่าเสียดาย

     พระโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสสั่งให้หยุดพักเกวียนพักเเรมกันที่นี่ จากนั้นรุ่งเช้าพระองค์จึงตรัสสั่งให้พวกพ่อค้าบริวารพากันเลือกเอาแต่เกวียนที่แข็งแรงมาเปลี่ยนกับเกวียนของตนที่เริ่มชำรุด และให้เลือกสินค้าที่มีราคามาบรรทุกแทนสินค้าที่มีค่าน้อยของพวกตน จากนั้นคารวานเกวียนของพระโพธิสัตว์เจ้าก็ออกเดินทางต่อไป และค้าขายได้ราคาดีราคาสูงถึงสองสามเท่า เมื่อค้าขายหมดเเล้วพระโพธิสัตว์เจ้าพร้อมด้วยพวกพ่อค้าบริวารจึงออกเดินทางกลับมายังเมืองพาราณสีโดยสวัสดิภาพ......

     สุภาษิตข้อคิดในเรื่องนี้ว่า อย่าวางใจคน จะจนใจเอง สุภาษิตนี้ใช้ได้เสมอ เพราะคนในสังคมทุกวันนี้ เห็นหน้าไม่รู้ใจกัน จะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุหาผลเสียก่อน อย่าทำอะไรด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ มิฉะนั้นจะลำบากจะเดือดร้อน ( ถึงตาย ) สถานเดียว

← ย้อนกลับ        ปิดหน้านี้          ถัดไป →