มหาปนาทชาดก

   มหาปนาทชาดกนี้มีเนื้อความว่า สมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาทรงพระปรารภอานุภาพของ พระภัททชิเถระ จึงทรงแสดงซึ่งชาดกนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย

   ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระมหามุนีเสด็จจำพรรษาอยู่ในกรุงพาราณสี ทรงดำริว่าจะสงเคราะห์ ภัททชิกุมาร จึงเสด็จไปสู่ภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยาวันตลอดไตรมาสเพื่อรอให้วาสนาบารมีของพระภัททชิกุมารแก่กล้า

   ภัททชิกุมารนั้น เป็นบุตรแห่ง ภัททิยเศรษฐี ผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฎิ มีปราสาสถึง ๓ หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓

   ฝ่ายสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งจำพรรษาอยู้ในอารามนั้น สิ้นไตรมาส ๓ เดือนแล้ว จึงทรงตรัสอำลาชาวเมืองทั้งหลายว่า จะเสด็จไปจากเมืองนั้น

   พวกชาวเมืองจึงขอให้ประทับอยู่อีกวันหนึ่ง แล้วพากันถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้น มีมหาชนไปประชุมถวายทานเป็นอันมาก

   เมื่อภัททชิกุมารไม่เห็นมหาชนไปคอยดูตน ในเวลาเปลี่ยนปราสาทตามฤดูเหมือนที่เคยมา จึงถามคนทั้งหลายจนรู้เหตุผลนั้นแล้วได้รีบตกแต่งกายด้วยเครื่องอลงกตพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ออกไปเฝ้าสมเด็จพระบรมสุคต

   เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์ ก็ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกแก่เศรษฐี ผู้บิดาของภัททชิกุมารนั้นให้ทราบว่า ภัททชิกุมารได้สำเร็จพระอรหัตผลแล้ว ถ้าไม่ให้บรรพชาในวันนี้ เขาก็จักปรินิพพานเสีย

   มหาเศรษฐีจึงกราบทูลขอให้บรรพชา เมื่อภัททชิกุมารบรรพชาแล้ว ได้ทูลอาราธนาให้สมเด็จพระบรมศาสดา เข้าไปรับมหาทานในบ้านของตนอยู่ตลอด ๗ วัน

   ในวันที่ ๗ พระองค์จึงพาพระภัททชิเสด็จไปถึงโกฏิคาม ชาวโกฏิคามได้พร้อมกันถวายมหาทานแก้ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์ทรงเป็นประธาน

   เมื่อเสร็จจากการฉันแล้ว เวลาพระพุทธองค์จะทรงอนุโมทนานั้น พระภัททชิ ได้ออกไปภายนอกบ้านเสียก่อน ไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา

   

อานุภาพของพระภัททชิเถระ

   

   ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยกเรือทานถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้พระภัททชิไปในเรือลำเดียวกันด้วย พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า

   “ดูก่อนภัททชิ ปราสาทที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทราชนั้นอยู่ที่ไหน?”

   พระภัททชิกราบทูลว่า

   “จมอยู่ตรงนี้ พระเจ้าข้า”

   ภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่า พระภัททชิอวดมรรคผล สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิ ให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย

   พระภัททชิถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้า ลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์ ขึ้นจากแม่น้ำคงคา ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้นน้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย

   สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาทหลังนี้ พระภัททชิเคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็นพระเจ้ามหปนาทราช

   

อานิสงส์สร้างบรรณศาลา

   

   ในอดีตกาลมีช่างเสื่อลำแพนคนหนึ่งในเมืองพาราณสี เดินออกไปที่นาได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง จึงบอกให้บ่าวไพร่ออกไปหว่านข้าว ส่วนตนเองได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธองค์นั้น กลับไปฉันอาหารที่บ้านของตนแล้วนิมาต์ไปที่ริมน้ำคงคาอีก

   ตนพร้อมกับบุตรได้สร้างบรรณศาลาด้วยเสาไม่มะเดือ ฝาไม้อ้อขึ้น แล้วกระทำที่เดินจงกรมถวายแก่พระปัจเจกเจ้าให้จำพรรษาอยู่ในที่นั้น เวลาออกพรรษาแล้วได้ถวายไตรจีวรแล้วนิมนต์ไปตามปรารถนา

   ต่อมาก็ได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มาจำพรรษาในบรรณศาลานั้นปีละองค์ จนถึง ๗ องค์ เวลาออกพรรษาแล้วก็ได้ถวายไตรจีวรทุกองค์ไป

   เวลาบิดากับบุตรทั้งสองนั้นตายแล้ว ก็ได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ ได้เสวยทิพย์สมบัติไป ๆ มา อยู่ในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น

   ต่อมาภายหลังบิดายังอยู่ในสวรรค์ ส่วนบุตรได้จุติจากสวรรค์ ลงมาบังเกิดในพระครรภ์ พระนางสุเมธาเทวี อัครมเหสีของ พระเจ้าสุรุจิ ในกรุงมิถิลามหานคร

   (ในตอนนี้ขอแทรกประวัติ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี อันปรากฏมีอยู่ใน สุรุจิชาดก ซึ่งสมเด็จพระพุทธองค์ทรงพระปรารภ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ไว้เป็นต้นเหตุแล้วจึงได้ทรงแสดงชาดกนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย)

← ย้อนกลับ        ปิดหน้านี้          ถัดไป →