มาตังคบรมโพธิสัตว์

   ในอดีตเมื่อครั้ง พระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในเมืองพาราณวี พระมหาสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดตระกูลคนจัณฑานมีนามว่า มาตังคมานพ เพราะเหตุที่มีปัญญาภายหลังจึงทีชื่อว่า มาตังคบัณฑิต

   ในเมืองนั้นมีธิดาเศรษฐีชื่อว่า ทิฎฐมังคลิกา วันหนึ่งนางได้เห็นพระโพธิสัตว์ทางช่องม่าน ข้างประตูอุทยาน เมื่อรู้ว่าเป็นคนบัณฑาลจึงล้างตาด้วยน้ำหอม แล้วกลับไปจากที่นั้น พวกบริวารของนางไม่ได้กินเหล้ากันก็พากันโกรธได้ประทุษร้ายมาตังคบัณฑิตจนสลบ แล้วก็พากันหลบหนีไป

   เมื่อมาตังคบัณฑิตฟื้นขึ้นแล้ว จึงคิดว่าผู้คนของนางทิฎฐมังคลากาโบยตีเราผู้หาความผิดมิได้ ถ้าเราไม่ได้นางมาเราจะไม่ลุกขึ้นครั้นตั้งใจดังนี้แล้ว จึงได้นอนลงที่ประตูบ้านบิดาของนาง ได้นอนอยู่ ๖ วัน ก็ยังไม่ได้ลุกไปไหน

   ธรรมดาว่าการอธิษฐานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จ เพราะฉะนั้นในวันที่ ๗ คนทั้งหลายจึงได้พานางทิฎมังลิกามามอบให้

   นางทิฎฐมังคลิกาจึงกล่าวขึ้นว่า

   “ลุกขึ้นเถิดนาย เราพากันไปบ้านของท่านเถิด”

   มาตังบัณฑิตจึงกล่าวว่า

   “บริวารของเจ้าทุบตีเราเสียบอบช้ำแล้วเจ้าจงยกเราขึ้นหลังแล้วพาไปเถิด”

   นางก็ทำตามสั่ง ได้ออกจากพระนครไปต่อหน้าชาวพระนคร ที่พากันมามุงดูแล้วก็ได้ไปสู่บ้านคนจัณฑาล

   ในคราวนั้น พระมหาสัตว์เจ้ามิได้ล่วงเกินนาง ให้ผิดประเพณีแห่งเผ่าพันธุ์วรรณ ให้นางพักอยู่ที่เรือนของตน ๒-๓ วัน แล้วคิดว่า เราจะทำให้นางถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภยศนั้น เราจักต้องบรรพชาจึงจะทำได้นอกจากนี้แล้วไม่มีทางทำได้

   

มาตังคฤาษีผู้มีฤทธิ์

   เมื่อคิดดังนี้แล้ว จึงบอกนางว่าจะไปในป่าขอให้รออยู่ที่นี้จนกว่าจะกลับมา และได้สั่งคนในบ้านให้เอาใจใสต่อนาง แล้วก็ออกไปบรรพชาเป็นฤาษีอยู่ในป่า ตั้งใจเจริญสมณธรรมพอถึงวันที่ ๗ ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘

   จึงคิดว่า บัดนี้เราอาจเป็นที่พึ่งของนางทิฎฐมังคลิกาได้แล้ว จึงเหาะไปลงที่ประตูบ้านคนบัณฑาล แล้วเดินไปสู่ประตูเรือนของนาง

   ฝ่ายนางทิฎฐมังคลิกาออกมาต้อนรับแล้วรำพันต่าง ๆ นานา พระมหาสัตว์จึงปลอบโยนนางว่า

   “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย คราวนี้เราจะทำให้เจ้ามียศใหญ่ยิ่งกว่ายศที่มีอยู่เก่าของเจ้า ก็แต่ว่าเจ้ามามารถพูดในที่ประชุมชนได้ไหมว่ามาตังคบัณฑิตไม่ใช่สามีของเรา ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของเรา”

   นางทิฎฐมังคลิกาก็รับว่าได้ แล้วพระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวต่อไปว่า

   “ถ้าอย่างนั้นเมื่อมีผู้ถามว่า เวลานี้สามีของเจ้าไปไหน ให้ตอบไปว่าพรหมโลก เมื่อเขาถามว่าจะกลับมาเมื่อไร ให้ตอบเขาว่านับแต่วันนี้อีก ๗ วันท้าวมหาพรหมผู้เป็นสามีของเรา จักแหวกพระจันทร์มาในวันเพ็ญ”

   ครั้นกล่าวกับนางอย่างนี้แล้ว ก็เหาะกลับไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที ฝ่ายนางทิฎฐมังคลิกาก็เที่ยวประกาศอย่างนั้นในท่ามกลางมหาชน มหาชนก็เชื่อว่าอาจจะเป็นได้ เพราะถ้าไม่เป็นไปได้ นางมิฎฐมังคลิกาก็จะได้ประโยชน์อะไรในการกล่าวเช่นนี้

   ฝ่ายพระโพธิสัตว์พอถึงวันเพ็ญดวงจันทร์เด่นอยู่ในท้องฟ้า ก็จำแลงตัวเป็นท้าวมหาพรหม เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วแว่นแคว้นกาสีถึง ๓ รอบ

   เมื่อมหาชนพากันบูชาอยู่ด้วยดอกไม้และของหอม เป็นต้น ได้บ่ายหน้าไปหมู่บ้านคนจัณฑาล พวกพรหมภัต คือพวกจัดเครื่องต้อนรับพระพรหม ก็ได้พร้อมกันไปที่บัานคนจัณฑาล

   ครั้นเขาตกแต่งบ้านเรือนของนางทิฎฐมังคลิกาเสร็จแล้ว พระมหาสัตว์เจ้าก็ลงมาจากอากาศ เข้าไปนั่งอยู่บนที่นอนสักครู่หนึ่งในเวลานั้นนางได้มีระดู จึงลูบสะดือของนางด้วยปลายนิ้วมือ แล้วนางก็ตั้งครรภ์ขึ้น

   ต่อมาพระมหาสัตว์เจ้าจึงบอกว่า

   “เจ้าจักได้ลูกเป็นผู้ชาย เจ้ากับบุตรจักเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยลาภยศ เพียงแต่น้ำอาบของเจ้าก็เป็นยาวิเศษ รดศรีษะผู้ใด ผู้นั้นจะหายจากโรคทั้งปวง ผู้ที่กราบไหว้จักให้ทรัพย์แก่เจ้า เจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด”

   ครั้นให้โอวาทนางแล้วก็ได้ออกจากเรือนแล้วเลื่อนลอยขึ้นไปบนอากาศ ต่อหน้ามหาชนที่กำลังดูอยู่ แล้วเข้าไปสู่ดวงจันทร์

   

มัณฑพยกุมาร

   พวกพรหมภัตจึงได้ให้นางทิฎฐมังคลิกาขึ้นนั่งบนสุวรรณสีวิกา แล้วยกขึ้นทูลศรีษะ ของตนพากันเข้าไปสู่พระนคร มหาชนต่างก็พากันบูชากราบไหว้ได้ทรัพย์ถึง ๑๘ โกฎิ โดยเชื่อถือว่าเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหม

   ครั้นพวกพราหมณ์นำไปรอบพระนครแล้ว ได้สร้างมณฑปใหญ่ขึ้นในท่ามกลางพระนคร แล้วให้นางทิฎฐมังลิกาอยู่ในนั้น และเริ่มก่อสร้างปราสาท ๗ ชั้น ไว้ที่ใกล้มหามณฑปนั้น

   ต่อมานางก็ได้คลอดบุตรในมณฑปนั้นเอง พราหมณ์จึงขนานนาม “มัณฑพยกุมาร” อีก ๑๐ เดือน ปราสาทจึงสำเร็จลงนางจึงอยู่ที่ปราสาทนั้น

   มัณฑพยกุมารนั้นก็เจริญขึ้นด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้ไปศักษาวิชาไตรเพทจนอายุได้ ๑๖ ปี ก็เริ่มตั้งพิธีเลี้ยงพวกพราหมณ์เป็นนิจไป

   ในขณะนั้นเอง มาตังคบัณฑิตนั่งอยู่ที่อาศรมบทในป่าหิมพานต์ ได้เล็งเหตุการณ์ก็ทราบว่า ความประพฤติแห่งบุตรโน้มเอียงไปในลัทธิอันไม่สมควร จึงคิดว่าวันนี้เราจักไปฝึกมานพนั้น ให้รู้ว่าให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก

   คิดดังนี้แล้ว ก็ได้ไปที่สระอโนดาตโดยทางอากาศ ลงอาบน้ำชำระกายแล้วก็ขึ้นยืนอยู่ที่มโนศิลา ได้นุ่งผ้าสองชั้นคาดประคตเอวแล้วห่มผ่าจีวรผืนใหญ่ ถือเอาบาตรเหาะลงยืนอยู่ที่โรงทานซุ้มประตูที่ ๔

   มัณฑพยกุมารได้เห็นมาตังฤาษี ผู้จำเลงเพศเป็นภิกษุ จึงกล่าวว่า

   “ท่านนุ่งห่มด้วยผ้าขี้ริ้วสกปรกเหมือนปีศาจเล่นฝุ่น ท่านไม่สมควรแก่การถวายทานของเรา”

   พระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวว่า

   “อาหารที่ท่านจัดไว้ให้พราหมณ์ทั้งหลายนั้น ก็ควรจะให้ทานแก่เราผู้เลี้ยงชีวิตด้วยอาหารผู้อื่นให้เช่นกัน แม้ถึงจะเป็นคนบัณฑาลก็ขอจงให้อาหารแก่เราบ้างเถิด”

   แต่มัณฑพยกุมารก็ไม่ยอมให้ กลับขับไล่ออกไป พระมหาสัตว์เจ้าจึงกล่าวว่า

   “ชาวนาผู้หวังผลย่อมหว่านพืชลงในที่ลุ่มบ้าง ในที่ดอนบ้าง ในที่เสมอไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ บ้างฉันใด ท่านจงให้ทานแก่บุคคลทั้งปวงด้วยศรัทธานี้ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ดีกุมารก็จักได้บุคคลที่ควรแก่การถวาย”

   มัณฑพยกุมารจึงกล่าวต่อไปว่า

   “เรารู้ดีว่านาเหล่าใดเป็นนาดีในโลก เรารู้ดีว่าการหว่านพืช คือการให้ทานแก่พวกพราหมณ์ที่สมบูรณ์ด้วยชาติพระกูล และด้วยความรู้นี้เป็นทางได้ผลดี”

   ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงว่า

   “ความเมาด้วยชาติตระกูล ความถือตัวเกินไป และโลภะ โทสะ โมหะ เหล่านี้ทีอยู่ในพวกใด พวกนั้นไม่จัดว่าเป็นเขตอันดี เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่ในพวกใด พวกนั้นจึงจัดว่าเป็นเขตอันดี”

   มัณฑพยกุมารไม่พอใจจึงให้นายประตูขับไล่ออกไป พวกนายประตูยังมาไม่ถึงตัวพระมหาสัตว์เจ้าก็ขึ้นไปยืนบนอากาศต่อหน้าคนทั้งหลายแล้วกล่าวว่า

   “ผู้ใดด่าว่าฤาษี ผู้นั้นชื่อว่าขุดภูเขาด้วยเล็บ เคี้ยวกินก้อนเหล็กด้วยฟัน ชื่อว่าพยายามกลืนไฟ”

   ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงแหาะไปต่อหน้ากุมารและพราหมณ์ทั้งหลาย บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก ไปลงที่ถนนสานหนึ่งแล้วอธิษฐานว่า ขอจงให้รอยเท้าของเราปรากฎอยู่ในที่นี้ แล้วก็เที่ยวบิณฑบาตได้อาหารแล้ว ก็นั่งฉันอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่ง

   

อานุภาพแห่งเทพพยดา

   ฝ่ายเทวดาผู้รักษาพระนครนั้น ก็คิดว่ามัณฑกุมารได้กล่าวเบียดเบียนพระผู้เป็นเจ้าของเรา จึงจับศรีษะกุมารและพวกพราหมณ์ทั้งหลายบิดให้เหลี่ยวหลังไป นอนตัวแข็งทื่อตาค้าง อ้าปากน้ำลายไหลกลิ้งไปมา

   คนทั้งหลายจึงไปแจ้งนางทิฎฐมังคลิกาว่ามีสมณะองค์หนึ่งนุ่งห่มผ้าขาดเป็นริ้วรอยเข้ามาในที่นี้ บุตรของพระแม่เจ้าจึงเป็นอย่างนี้

   นางจึงคิดว่าเราจักไปเที่ยวค้นหาสามีของเรา แล้วสั่งให้ทาสและทาสีถือคณโฑน้ำทองคำเที่ยวติดตามไป ได้เห็นรอยเท้าที่พระมหาสัตว์เจ้าอธิษฐานไว้ก็รีบติดตามไปได้พบในขณะกำลังนั่งฉันอาหารอยู่ที่สาลานั้น นางจึงเข้าไปใกล้แล้วนั่งลงยกมือไหว้

   พระมหาสัตว์เจ้าได้เห็นนางมาถึง จึงเหลือข้าวสุกไว้ก้นบาตรแสดงอาการอิ่มแล้ว นางจึงน้อมคณโฑเข้าไปถวาย และกล่าวถามถึงเหตุดังกล่าวนั้น

   มาตังคฤาษีตอบว่าเป็นเพราะยักษ์ผู้รักษาพระนคร รู้จักคุณธรรมของพวกฤาษี ทราบว่าบุตรของเจ้าว่าร้ายต่อฤาษี จึงได้ทำบุตรของเจ้าให้เป็นอย่างนี้

   นางทิฎฐมังคลิกาจึงขอโทษว่า ยักษ์ทั้งหลายโกรธแล้ว ท่านอาจทำให้หายได้โดยน้ำเพียงจอกเดียว ข้าพเจ้าไม่กลัวยักษ์สักนิดเดียว กลัวท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ผู้เดียวเท่านั้น ขอท่านจงเมตตาอย่าได้โกรธบุตรข้าพเจ้าเลย

   พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า เมื่อกี่บุตรของเจ้าด่าเรา เราก็ไม่คิดร้ายต่อบุตรของเจ้า ก็แต่ว่าบุตรของเจ้ากำลังมัวเมาว่ารู้ศีลปศาสตร์ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงได้โทษอย่างนี้ กล่าวดังนี้แล้วจึงให้ข้าวสุกที่เหลือ เพื่อหยอดเข้าไปในปากของบุคคลเหล่านั้น

   นางจึงแบ่งข้าวนั้นหยอดลงในปากแห่งบุตรของตน แล้วยักษ์ที่รักษาพระนครก็หนีไป มัณฑพยกุมารฟื้นขึ้นมาจึงกันไปดูพวกพราหมณ์ที่ยังสลบอยู่

   นางทิฎฐมังคลิกาจึงสั่งสอนว่า

   “เจ้ายังมีปัญญาน้อย ไม่รู้ว่าให้ทานในที่ใดจึงจะมีผลมาก เพราะการให้ทานแก่ผู้มีกิเลส ไม่มีสำรวม มีแต่กรรมเศร้าหมองถึงให้ทานมาก ก็ย่อมมีผลน้อย

   นี่แน่ะมัณฑพย ผู้รับการถวายทานของเจ้า บางคนก็รวบเกล้วทำเป็นชฎานุ่งผ้าหนังเสือมีหน้ารุงรังด้วยหนวดเครา เจ้าจงพิจรณาดูซึ่งผู้ที่ทำตนให้หม่นหมองอย่างนี้ การมุ่นเกล้าให้เป็นชฎาและนุ่งผ้าหนังเสือเช่นนี้ หาป้องกันผู้มีปัญญาน้อยได้ไม่

   ท่านเหล่าใดสำรอกราคะ โทสะ และ อวิชชาแล้ว หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว ทานที่บุคคลถวายย่อมมีผลมาก”

   นางทิฎฐมังลิกากล่าวอย่างนี้แล้ว จึงเตือนให้ช่วยพวกพราหมณ์กินยาอันไม่รู้จักตายนั้น แล้วเทข้าวสุกที่เหลืออยู่ในนั้นลงในตุ่มน้ำขยำให้ดีแล้วจึงตักน้ำหยอดเข้าไปในปากพวกพราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคนนั้นก็ได้สติลุกขึ้นทันที

   ลำดับนั้น พวกพราหมณ์อื่นจากพวกนี้ ก็พากันติเตียนว่า พวกพราหมณ์เหล่านี้ได้กินน้ำเหลือเดนของคนจัณฑาล ทำให้เสียชาติตระกูล จึงพร้อมกันทำพราหมณ์เหล่านั้นไม่ให้เป็นพราหมณ์อีกต่อไป

   พราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคนก็ละอายใจได้ยกครอบครัวออกจากเมืองพาราณสี ไปอยู่กับ พระเจ้าเมชฌราช ในเมชฌนครเสีย

   

ทรมานดาบสผู้มีมานะ

   ในคราวนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งบวชเป็นดาบส อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเวตวดี แต่เป็นผู้มีมานะจนเกินการ พระมหาสัตว์เจ้าได้ทราบจึงคิดทำลายมานะของดาบสนี้เสีย

   แล้วจึงไปอาศัยอยู่เหนือแม่น้ำเวตวดีได้อธิษฐานขอให้ไม้สีฟัน ไปติดอยู่ที่ชฎาดาบศนี้ ไม่สีฟันก็ลอยไปติดอยู่ที่ชฎา ในขณะที่ดาบสนั้นลงอาบน้ำ

   ดาบสนั้นจึงด่าขึ้นว่า อ้ายคนฉิบหาย อ้ายคนชั่วร้าย แล้วคิดว่าอ้ายคนกาลกิณีนี้มาจากไหน จึงทิ้งสิ่งโสโครกมา เราจักไปดูแล้วก็ขึ้นเดินไปตามฝั่งแม่น้ำ จึงได้เห็นพระโพธิสัตว์ จึงถามว่าท่านมาจากไหนท่านเป็นคนชนิดใด

   พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า เรามาจากป่าหิมพานต์ เราเป็นคนจัณฑาล ดาบสจึงถามว่า ท่านทิ้งไม้สีฟันลงในแม่น้ำบ้างหรือ

   พระมหาสัตว์เจ้าตอบบว่าทิ้งลงไป ดาบสนั้นจึงได้ด่าว่า เจ้าคนถ่อย เจ้าอย่าอยู่ในสถานที่นี้จงไปอยู่เสียใต้ของแม่น้ำ

   พระมหาสัตว์เจ้าก็ไปนั่งอยู่ด้านใต้แม่น้ำ แล้วทิ้งไม้สีฟันลงไป ไม้สีฟันนั้นก็กลับไหลทวนน้ำ ไปติดอยู่ชฎาของดาบสนั้นอีก ดาบสนั้นก็โกรธแล้วสาปแช่งว่า อ้ายคนจัญไรถ้าเจ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ศรีษะเจ้าจักแตกเป็น ๗ ภาค ภายใน ๗ วัน

   พระมหาสัตว์เจ้าจึงคิดว่า ถ้าเราโกรธขึ้นบ้าง เราก็อาจทำให้ดาบสนี้ฉิบหาย แต่ศีลที่เรารักษาไว้ก็จักเสียไป เราจะทำลายมานะดาสนี้ด้วยอุบายวิธีของเรา พอถึงวันที่ ๗ จึงบันดาลไม่ให้ดวงอาทิตย์ปรากฎขึ้นในท้องฟ้า

   คนทั้งหลายพากันวุ่นวายเข้าไปหาดาบสนั้นว่า เหตุไรท่านจึงไม่ให้ดวงอาทิตย์ขึ้น ดาบสนั้นตอบว่า เราไม่ได้ทำเห็นมีแต่ดาบสจัณฑาลผู้หนึ่งคงเป็นผู้ทำ

   คนเหล่านั้นจึงพากันไปไต่ถามพระโพธิสัตว์ ท่านจึงได้เล่าความเป็นไปให้ฟังว่า เมื่อให้ดาบสนั้นมากราบที่เท้าเพื่อขอโทษต่อเราแล้วเราก็จะให้พระอาทิตย์ขึ้น

   คนทั้งหลายจึงพากันไปช่วยจับดาบสนั้นฉุดคร่าให้มาหมอบที่เท้าของพระมหาสัตว์เจ้าเพื่อขอโทษ แล้วอ้อนวอนขอให้พระอาทิตย์ขึ้นเถิด

   พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า เรายังให้ขึ้นไม่ได้ ถ้าเราปล่อยให้ขึ้น ศรีษะของดาบสนี้ก็จักแตก ๗ เสี่ยง

   เขาจึงถามว่าจะให้ทำอย่างไร พระมหาสัตว์เจ้าตอบว่า ท่านจงไปเอาก้อนดินเปียก ๆ มาพอกศรีษะของดาบสแล้วปล่อยดาบสนี้ลงไปอยู่ในน้ำ พอศรีษะของดาบสต้องแสงอาทิตย์ ดินเหนียวที่พอกศรีษะนั้นก็แตก แล้วให้ดาบสนี้ดำน้ำหลบหนีไป เมื่อทำอย่างนี้ ดาบสนี้จะพ้นจากความตาย

   คนทั้งหลายก็พากันกระทำตามทุกประการ พระมหาสัตว์เจ้าจึงคลายอิทธิปาฎิหารย์ปล่อยดวงอาทิตย์ขึ้น พอแสงอาทิตย์ขึ้นก็เป็นไปตามนั้นทันที

   

มาตังคฤาษีถูกลอบทำร้าย

   เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าทรมานดาบสให้สิ้นพยศแล้ว จึงนึกถึงพวกพราหมณ์ทั้งหมื่น ๖ พันคน ได้ทราบว่าเขาพากันไปอยู่กับพระเจ้าเมชฌราช จึงเหาะไปลงที่มุมเมืองเมชฌนครแล้วถือบาตรเที่ยวภิกขาจรไป

   พวกพราหมณ์เหล่านั้นได้เห็นจึงปรึกษากันว่า มาตังคฤาษีได้มาอยู่ในเมืองนี้แล้ว ไม่ช้าเขาก็จักทำพวกเราให้หาที่พึ่งไม่ได้ จึงพากันไปกราบทูลพระเจ้าเมชฌราชว่า วิชาธรซึ่งพวกข้าพระพุทธเจ้าเคยรู้จักได้เข้ามาในเมืองนี้แล้ว ขอพระองค์จงให้จับฆ่าเสีย

   ฝ่ายมหาสัตว์เจ้าพอบิณฑบาตได้แล้วก็ไปนั่งฉันอยู่ที่ชายคาเรือนแห่งหนึ่ง พระเจ้าเมชฌราชจึงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษติดตามไป

   พอเขาได้เห็นพระมหาสัตว์เจ้ากำลังนั่งฉันอาหารอยู่โดยไม่รู้ตัว ก็พากันแอบเอาดาบฟันคอของพระมหาสัตว์เจ้าให้ขาดสะบั้น แล้วพระมหาสัตว์เจ้าก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก

   เทวดาทั้งหลายพากันโกรธเคือง จึงได้บันดาลให้เป็นฝนเถ้ารึงอันร้อนตกลงมาทั่วเมชฌนคร ไหม้สิ่งของทั้งปวงไม่มีเหลือ พระเจ้าเมชฌราชกับทั้งประขาชนก็ถึงซึ่งความพินาศสิ้น

   ต่อมาภายหลัง มัณฑพยกุมาร ก็ได้มาเกิดเป็น พระเจ้าอุเทน ผู้เบียดเบียนบรรพชิต ส่วน มาตังคบัณฑิต ได้มาเกิดเป็น พระพุทธองค์ สิ้นเนื้อความใน มาตังคชาดก แต่โดยย่อเพียงเท่านี้

← ย้อนกลับ        ปิดหน้านี้          ถัดไป →