พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอานนท์ อาจริยมุฏฐิ คือกำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า
แต่ภายหลัง
พระมาลุงกยบุตร ได้ทูลถามก็ไม่ทรงแก้ จึงว่าปัญหานี้ จักเป็นปัญหาที่เด็ดขาดลงไป ๒ อย่าง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือไม่ทรงแก้เพราะไม่รู้ หรือเพราะกระทำข้อลี้ลับไว้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่
ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า กำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว การที่ไม่ทรงแก้นั้น ก็ต้องเป็นเพราะไม่ทรงล่วงรู้
ถ้าทรงล่วงรู้แต่ไม่แก้ คำว่า กำลือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ก็ต้องมีแก่พระตถาคต
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ละเอียดลึกซึ้งนัก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย คือทิฏฐิเถิด
พระนาคเสนเถระถวายพระพรว่า
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้อย่างนั้น แต่ที่ไม่ทรงแก้นั้น ไม่ใช่เพราะไม่ทรงล่วงรู้ ไม่ใช่เพราะกระทำให้เป็นข้อลี้ลับไว้
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้แสดงแก้ปัญหาไว้เป็น ๔ ประการ คือ
๑.
เอกังสพยากรณ์ เมื่อมีผู้ถามก็แก้ออกไปที่เดียว
๒.
วิภัชชพยากรณ์ แยกแล้วจึงแก้
๓.
ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ย้อนถามแล้วจึงแก้
๔.
ฐปนีพยากรณ์ แก้ด้วยการงดไว้
ยกตัวอย่าง
การแก้ว่า สิ่งที่เป็นอนิจจัง คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่า เอกังสพยากรณ์
การแก้ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เรียก วิภัชชพยากรณ์
การย้อถามว่า บุคคลย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุหรือ ? ถามดังนี้แล้วจึงแก้เรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์
คำถามอันหาประโยชน์มิได้ ไม่ควรจะกล่าวแก้ เช่นถามว่า โลกยั่งยืน หรือไม่ยั่งยืน โลกมีที่สุด หรือโลกไม่มีที่สุด โลกมีที่สุดก็มี ไม่มีที่สุดก็มี โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่
ชีพกับสรีระเป็นเดียวกัน ชีพกับสรีระเป็นอื่น พระตถาคตเจ้าตายแล้วเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี เกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี จะว่าเกิดอีกก็ไม่ใช่ ไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ เป็นต้น
ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ เรียกว่า ฐปนียปัญหา เหตุไรปัญหานั้นจึงเป็นฐปนียปัญหา
เหตุว่าไม่มีที่จะให้ทรงแก้ปัญหานั้น เพราะการเปล่งพระวาจาอันไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพร
สาธุ ...พระนาคเสน โยมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น
ฏีกามิลินท์
คำว่า เอกังสพยากรณ์ ได้แก่มีผู้ถามว่า รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ก็ตอบออกไปทีเดียวว่า ไม่เที่ยง
คำว่า วิภัชชพยากรณ์ ได้แก่แยกตอบเป็นอย่าง ๆ ไปว่า รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง เป็นต้น
ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ได้แก่เมื่อมีผู้ถามว่า บุคคลรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุหรือ ก็ย้อนถามออกๆไปว่า หมายถึงจักษุอะไร เมื่อมีผู้ตอบว่า หมายถึงสมันตจักษุ ( ตาเนื้อ ) จึงแก้ว่า ถูก...บุคคลย่อมรู้สิ่งทั้งปวงด้วยจักษุ
อธิบาย
ฐปนียพยากรณ์ ในฏีกาไม่ได้อธิบายไว้ จึงขออธิบายให้ฟังว่า ฐปนียพยากรณ์ อันแปลว่า แก้ด้วยการพักไว้นั้น คือเมื่อมีผู้ถามก็นิ่งเสียไม่ตอบ เพราะไม่มีประโยชน์อันใดในการตอบ
อีกอย่างหนึ่ง ได้เคยตอบหรือเคยแสดงไว้ในที่อื่นมามากแล้ว เมื่อมีผู้ถามก็งดไม่ตอบ เพราะเห็นว่าได้เคยตอบ เคยอธิบาย เคยแสดงไว้ในที่อื่นมากแล้ว
ปัญหาว่า โลกยั่งยืน หรือไม่ยั่งยืน เป็นต้น พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า การตอบออกไป ก็ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดงไว้พิศดารใน พรหมชาลสูตร แล้ว
ด้วยเหตุทั้งสองอย่างนี้ เวลาพระมาลุงกยบุตรทูลถาม จึงไม่ทรงแก้ออกไปตรง ๆ ว่าเป็นอย่างไร เป็นแต่ทรงแสดงธรรมเพื่อพระมาลุงกยบุตร เข้าใจในทางธรรมตามเป็นจริงเท่านั้น