ขณะนั้นเป็นต้นราชวงศ์ถัง ชนเผ่าทูเจี๋ยรุกรานชายแดนอยู่เสมอราชสำนักจึงห้ามประชาชนออกนอกประเทศเป็นการส่วนตัว แต่ในปี พ. ศ. ๑๑๗๐ เดือนที่ ๘ ท่านตัดสินใจเด็ดขาดที่จะออกเดินทางไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต และตั้งจิตอธิษฐานขอนิมิตในการเดินทาง ในคืนนั้นก็ฝันว่า มีเขาพระสุเมรุที่งดงามอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่ปั่นป่วน ใจคิดที่จะไปให้ถึงยอดเขาก้าวเท้าเดิน

     ทันใดนั้นก็มีดอกบัวหินโผล่ขึ้นมารองรับทุกย่างเท้า เมื่อถึงเชิงเขาก็มีลมพัดมาหอบเอาตัวลอยขึ้นไปถึงยอดเขา แล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น ท่านจึงแน่ใจว่าในการไปครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่นอน จึงเริ่มออกเดินทางเมื่ออายุ ๒๖ ปี

     หลี่ไต่เหลี่ยงเจ้าเมืองเหลี่ยงโจวพอทราบว่าหลวงจีนเฮียนจางจะเดินทางไปอินดีย ก็ส่งคนขัดขวางและบังคับให้กลับเมืองฉางอาน พระฮุ่ยอุยที่อยู่ในเมืองนั้นทราบเรื่องว่าท่านจะไปอินเดียเพื่ออาราธนาธรรม

      จึงลอบจัดให่ศิษย์ของตนลอบพาพระเฮียนจางไปส่งถึงเมืองกายจิวในเวลากลางคืน เจ้าเมืองกายจิวนับถือพุทธศาสนา รู้สึกเลื่อใสในปณิธานอันแรงกล้าของท่านจึงช่วยเหลือทันที พร้อมทั้งทำลายหมายจับตัวท่านอีกด้วย และบอกให้พระหนุ่มผู้นี้รีบออกเดินทางทันที

     ในระหว่างทาง พระเฮียนจางได้พบกับชาวฮู้ ชื่อว่าผานถัว มีความศรัทธาในตัวท่านมาก รับอาสาจะพาไปส่งที่อินเดีย แต่อนิจจา ! ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทั้ง ๒ คนประสบกับความทุรกันดาร สือผานถัวทนความลำบากไม่ไหว อีกทั้งกลัวทางการจะจับได้ จึงได้เปลี่ยนใจกลับบ้านกะทันหัน พร้อมทั้งกำซับว่าถ้าท่านอาจารย์ถูกจับได้อย่าบอกว่าเขาเป็นผู้นำทางมา ซึ่งท่านก็รับปาก

      และแล้วพระเฮียนจางก็เดินทางไปชมพูทวีปเพียงคนเดียว รอนแรมผ่านทะเลทรายไปตามลำพัง ไม่มีหญ้าน้ำ ไม่มีทางเดิน อาศัยกองกระดูกและมูลม้าเป็นแนวซึ่งแสดงว่าเป็นทางเดินที่เคยมีคนสัญจร ท่านอยู่มนทะเลทรายตลอด ๔ คืน ๕ วัน โดยไม่มีน้ำฉันสักหยดเดียว จนเป็นลมสลบไปหลายครั้ง ในที่สุดก็เดินทางถึงแคว้นอีอู๊