ยังมีสมเด็จพระบรมกษัตริยาธิบดีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้ากิตติวัสสราช เสวยราชสมบัติปกครองไพร่ฟ้าประชาชนในแว่นแคว้นของพระองค์ให้ได้ความสุขสืบมา กาลไม่ช้า พระองค์ก็ทรงได้พระราชโอรสองค์หนึ่ง แต่พอประสูติออกมา บรรดาโหราจารย์ทั้งหลายก็พากันถวายพยากรณ์ว่า
" ต่อไปภายหน้าพระราชกุมารนี้ จักสิ้นพระชนม์เพราะอดน้ำ"
เมื่อทรงทราบคำพยากรณ์เช่นนี้ สมเด็จพระเจ้ากิตติวัสสราชาธิบดี จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้ขุดบ่อย้ำไว้ทุกตำบลด้วยพระราชประสงค์ว่า
เมื่อพระราชกุมารเสด็จไปประพาสในที่ใด ๆ จักได้ไม่ขาดแคลนน้ำ
วันหนึ่ง สมเด็จพระราชโอรสซึ่งบัดนี้ได้ทรงเติบใหญ่ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เสด็จไปประพาสพระราชอุทยานเล่นสำราญแล้ว กลับมาถึงประตูพระนคร ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มิได้แสดงความเคารพตนเหมือนคนอื่น ๆ ก็ทรงโกรธเคืองเป็นกำลัง จึงตวาดด้วยเสียงดังว่า
" เฮ้ย สมณะหัวโลนนี้จะไปข้างไหน เห็นเราแล้วทำไมจึงไม่แสดงความเคารพ ทำกิริยาเฉยเมยอวดดีประหนึ่งว่าเรานี้มิใช่พระราชโอรส "
ตรัสดังนี้เเล้ว เมื่อทรงเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐนั้นยังเฉยอยู่ตามเดิม ก็ทรงโกรธเคืองหนักยิ่งขึ้น จึงกระโดดลงจากคอคชสารเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า เอื้อมหัตต์จับขอบบาตรแล้วตรัสด้วยสำเนียงดุดันว่า
" ดูก่อนสมณะ อ๋อ ....นี้น่ะหรือคืออาหารที่ท่านไปขอทานเขามา เมื่อเซ่อซ่าไม่จักเรา ซึ่งเป็นพระราชโอรสผู้ควรแก่การเคารพ ก็อย่ากินอาหารมื้อนี้เลย "
ตรัสฉะนี้แล้ว พระราชกุมารผู้เมายศศักดิ์ ไม่ทรงทราบว่าตนจักประสบกับความวิบัติอย่างใหญ่หลวง ก็ทรงกระชากบาตรจากหัตถ์พระปัจเจกพุทธเจ้าเหวี่ยงโครมลงไปที่กอไม้ใกล้ทางด้วยความโกรธ พระปัจเจกพุทธะเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ซึ่งมีนามว่า " พระสุเนตรปัจเจกพุทธเจ้า " เห็นพระราชกุมารกระทำกรรมอันเป็นบาปหยาบช้าเข้าลักษณะสำเร็จเป็นทิฐธรรมเวทณียกรรมเช่นนั้น ก็พลันมีจิตกรุณามองดูพระราชกุมารด้วยความสังเวชใจ
" อ๋อ .... โกรธหรือสมณะหัวโลน เราทำแค่นี้ก็โกรธด้วยหรือ จึงมองจ้องหน้า เอาซี จะทำอะไรเราก็เอา เรานี่แหละคือโอรสแห่งองค์สมเด็จพระบรมกษัตริย์ในเมืองนี้ เมื่อท่านจะร้ายแก่เราอย่างไร เราก็อนุญาตให้ด้วยความเย็นดี "
ครั้นพระราชกุมารผู้โอหัง ประทุษร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวคำเยาะเย้ยดังนี้แล้ว ก็เสด็จขึ้นคอคชสารไปได้หน่อยหนึ่ง พอลับตาพระสุเนตรปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว ก็ทรงกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงรับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายไปตักน้ำที่บ่อ ซึ่งพระราชบิดารับสั่งให้ขุดไว้
แต่ด้วยอำนาจแห่งทิฐธรรมเวทนียกรรมบันดาลให้เป็นไป บ่อนั้นหาได้มีน้ำไม่ราชบุรุษทั้งหลายกลับมากราบทูลว่าน้ำไม่มี จะรีบไปหาน้ำที่บ่ออื่นมาถวายพระราชกุมารผู้มีกรรมทรงอยู่ไม่ไหว
เมื่อมิได้ดื่มน้ำก็สิ้นพระชนม์มายุดับสังขารในที่นั้น สมจริงตามคำที่เหล่าโหราจารย์พยากรณ์ไว้ทุกประการ แล้วก็ทรงถูกอกุศลทิฐธรรมเวทนียกรรมฉุดกระชากลากไปอุบัติเป็นสัตว์นรก ณ อเวจีเผาอยู่ตลอดเวลานานประมาณ ๘๔. ๐๐๐ ปี ครั้นพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ก็มาปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นเปตรในเปตรวิสัย ได้เสวยทุกขเวทนาด้วยการอดอาหาร มิได้บริโภคข้าวและน้ำเป็นเวลานานโดยนับกาลกำหนดมิได้
ครั้นถึงสมัยที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุณีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แล้ว เปตรอดีตสัตว์อเวจีมหานรกราชกุมารผู้โอหังนั้น ก็พ้นจากความเป็นเปตร มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นบุตรชายคนสุดท้องของชาวประมงตระกูลหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองกุณฑินคร โดยเหตุที่ในชาติก่อน ๆ ตนเคยเสร้างกุศลกรรมความดีไว้ จึงระลึกชาติได้เมื่อเจริญวัยแล้ว กุมารลูกชายประมงนั้นก็พลันระลึกขึ้นได้ว่า
" อาตมาได้เสวยทุกขเวทนามาช้านาน ด้วยการประพฤติกรรมอันลามกไว้เมื่อครั้งเป็นพระราชกุมารโอรสแห่งพระเจ้ากิตติวัสสราชธิบดี
ประทุษร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีพระคุณอันประเสริฐ จึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี แล้วมาเกิดเป็นเปตรอดข้าวอดน้ำ ครั้นพอสิ้นกรรมจากเปตรวิสัยแล้ว จึงมาเกิดในตระกูลของชาวประมงอยู่ ณ กาลบัดนี้"
ระลึกชาติได้ฉะนี้แล้ว กุมารนั้นก็มีจิตไม่ผ่องแผ้วเกรงกลัวอยู่แต่บาปกรรม ไม่ปราถนาที่จักฆ่าเนื้อปลาตามตระกูล เมื่อเห็นหมู่ญาติทั้งหลายพากันดอาข่ายไปดักปลาไว้ก็แอบไปทำลายเสีย ถ้าได้ปลามาแล้วเห็นปลานั้นดิ้นอยู่ก็นำไปปล่อยเสีย บิดามารดาบังคับให้ไล่ปลาในน้ำทำการประมง ถ้าหลีกได้ก็หลีกไปให้พ้นไปเสียหาไปไม่
ถ้าคราวใดหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องไปหาปลาด้วยความจำเป็น เมื่อชาวประมงเพื่อนกันได้ปลาคะเนดูว่าตนมีกำลังมากกว่าก็เข้าไปขโมยปลาที่เขาหาได้ปล่อยลงในน้ำเสียอีกเช่นกัน คนทั้งหลายเหล่านั้นจึงนำเอาความมาบอกแก่บิดามารดาของเขา ฝ่ายท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นบิดามารดา เมื่อเห็นว่าเจ้าลูกชายตนมันประพฤติเป็นคนจัญไรสำหรับชาวประมงบ่อยครั้งเช่นนั้น ก็ไม่พอใจจึงขับไล่ออกจากบ้านไป
เมื่อถูกไล่ออกจากบ้าน กุมารนั้นก็เป็นเด็กพเนจร เดินทางอดมื้อกินมื้อไปตามยถากรรม วันหนึ่งเดินทางมาถึงที่อยู่แห่งพระอานนท์เถระเจ้า ขณะนั้นเป็นเพลาเช้า พระเถระเจ้ากำลังฉันภัตตาหาร เมื่อเห็นกุมารเข้าไปใกล้ และถวายนมัสการอยู่แทบเท้า
พระผู้เป็นเจ้าก็ทราบว่าเขามีความต้องการอาหารเป็นอย่างมาก จึงมีความกรุณาแบ่งอาหารให้พอสมควร แล้วก็ไต่ถามถึงความเป็นมา กุมารนั้นเล่าเรื่องของตนเรียนถวายท่านตามความเป็นต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอบรรพชาเป็นสามเณรเสียมิดีกว่าหรือครั้นกุมารรับคำเอาพระผู้เป็นเจ้าก็จัดแจงหาสบงจีวรมาได้แล้ว
จึงจัดการปลงผมและบวชกุมารนั้นเป็นสามเณรตามความประสงค์ แล้วพาไปสู่สำนักแห่งสมเด็จพระพุทธองค์ เมื่อทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสถามว่า
" ดูก่อนอานนท์ สมเณรน้อยนี้เธอไปได้แต่ที่ไหนมา? "
ท่านพระอานนท์ผู้พุทธอนุชา ก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงให้ทรงทราบทุกประการ แล้วกราบทูลอีกต่อไปว่า
" ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ สามเณรนี้เป็นผู้ไม่มีลาภสักการะ เพราะแต่ก่อนมิได้ทำกุศลไว้ มาในชาตินี้จึงได้รับความลำบากนักหนา ข้าพระองค์คิดว่าจะอนุเคราะห์แก่สามเณร โดยให้หม้อน้ำแก่เธอไปตักน้ำถวายพระภิกษเป็นนิตย์ทุกวัน ดังนี้จะเป็นประการใด พระเจ้าข้า "
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุมัติแล้ว พระเถระเจ้าก็มีจิตผ่องแผ่ว มอบหม้อน้ำมาถวายพระภิกษุทั้งหลาย และเฝ้าปฏิบัติรับใช้ด้วยความเอาใขใส่ อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เห็นสามเณรปฏิบัติปวงเป็นอย่างดี ก็มีจิตศรัทธารักใคร่จึงถวายนิตยภัตทุกวัน มิให้สามเณรนั้นต้องได้รับความเดือดร้อนในเรื่องอาหารแต่ประการใด
ต่อมาพออายุครบอุปสมบทแล้ว สามเณรนั้นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา อุตสาหพยายามบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานยังวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นในสันดานโดยลำดับ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่ตนเคยบำเพ็ญมาในช้าก็สามารถยังพระอรหัตมรรคพระอรหัตผลให้บังเกิดขึ้น ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงคุณสูงสุดในที่พระบวรพุทธศาสนา
จะกล่าวฝ่ายบิดามารดาและพี่ชายที่เป็นชาวประมง เมื่อขับไล่บุตรคนเล็กซึ่งตนลงความเห็นว่าเป็นคนจัญไรออกจากบ้านไปแล้ว ในไม่ช้าก็พากันล้มตายไปตาม ๆ กันทั้ง ๓ คน แล้วไปเกิดเป็นเปตรประเภทปรทัตตูปชีวีมีปากและคอเท่ารูเข็ม ประกอบไปด้วยความลำบาก อดอยากหิวโหยเหลือประมาณ มีรูปทรงสัญฐานอันผอมกะหร่อง มีผิวกายดำเกรียมดุจถูกเผาด้วยเพลิง ไม่มีผ้านุ่งห่ม มีแต่หนังหุ้มกระดูก ทุกวันเวลาได้แต่เสวยทุกขเวทนาอยากข้าวอยากน้ำหน้าดำคร่ำเครียดหาความสุขมิได้ อาศัยอยู่แถว ๆ ภูเขาสาณราสี ตามประสาผีเปตรผู้มีกรรมคอยรับส่วนบุญ
คราวหนึ่ง กุมารพเนจรไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นพระอรหันตมหาเถระเจ้าทรงสูงสุดในพระพุทธศาสนาไปแล้วนั้น ท่านพาพระภิกษุสหายกัน ๑๒ รูปเดินทางผ่านขึ้นไปพักบนภูเขาสาณราสีอันเป็นที่อยู่แห่งเปตรผู้เป็นโยมบิดามารดาและพี่ชายนั้น ครั้นเปตรชราทั้งสองผู้เป็นบิดามารดา เห็นท่านเข้าใจได้ว่าเป็นบุตรของตน จึงหันหน้ามาซุบซิบปรึกษาซึ่งกันและกัน
เอ๊ะ นั้นดูเหมือนว่าเป็นบุตรชายคนเล็ก ซึ่งพวกเราขับไล่ออกไปเสียจากเรือนเมื่อก่อนนี้มิใช่หรือ อโห บัดนี้บุตรชายของเรา มีบุญวาสนาได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เป็นสาวกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีหน้าตาผ่องใสครองจีวรสีเหลืองอร่ามงามน่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนักเหวย.....เจ้านี่ สูมึงจงไปบอกพระภิกษุน้องชายของมึงซึ่งเป็นลูกของกูว่ากูทั้งสองและมึงเวลานี้ตายแล้ว
มาบังเกิดเป็นเปตรได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมากอยู่ ณ ที่นี้ หากลูกกูผู้เป็นพระจะมีวิธีช่วยเหลือประการใดแล้ว ขอจงได้กรุณารีบช่วยเหลือโดยเร็วเถิดอย่าช้า"
หันหน้ามาสั่งเจ้าเปตรลูกชายในตอนท้าย เพราะยังมีความละอายไม่กล้าปรากฏกายให้พระมหาเถระเจ้าเห็น และไม่กล้ากล่าวขอส่วนบุญตนเอง
เจ้าเปตรผู้เป็นพี่ชายของพระมหาเถระเจ้านั้น ครั้นรับบัญชาจากเปตรผู้เป็นบิดามารดา ก็พยายามไปแสดงกายเพื่อให้พระมหาเถระเจ้าเห็นเป็นหลายครั้งหลายหน
ในเพลาราตรีนั้น แต่หาได้สำเร็จไม่ ทั้งนี้ก็เพราะองค์อรหันต์ท่านมัวสนมนาอยู่กับเพื่อนพระภิกษุ ไม่ได้สำรวมจิตพิจารณาเหตุทั้งหลายแต่ประการใด จนกระทั่งถึงตามพารุณสมัยอาทิตย์ไขแสงทองขึ้นส่องอร่ามฟ้า เมื่อเปตรหนุ่มนั้นเห็นพระอรหันต์น้องชายพาเพื่อนสงฆ์ลงมาจากภูเขาเพื่อเข้าไปโคจรบิณฑบาตในละเเวกบ้าน มันจึงวิ่งเข้าไปดักหน้าคุกเข่าประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียรเกล้าแล้วร้องเรียกขึ้นไปว่า
" น้องชายของข้าผู้เป็นพระเอ๋ย.... จำได้หรือไม่เล่า ตัวข้านี้เป็นพี่ชายของท่านทำกาลกิริยาตายแล้ว มาเกิดเป็นเปตรมีความเป็นอยู่อย่างแสนจะน่าทุเรศในเปตรวิสัย เพราะเหตุที่มิได้ประกอบกองการกุศลไว้ กระทำแต่กรรมอันเป็นบาปหยาบช้า ถึงแม้บิดามารดาของเราทั้งสองก็เหมือนก็เหมือนกันบัดนี้ท่านตายมาเกิดเป็นเปตรกับข้า ได้รับทุกขเวทนาอกอยากเหลือกำลัง อยากจะขอความช่วยเหลือขอส่วนกุศลจากท่าน หากท่านไม่ปรานีในครั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าและบิดามารดาก็เห็นจะไม่แคล้วเป็นเปตรอยู่อย่างนี้ตลอดไป ขอท่านจงพิจารณาหาทางช่วยเหลือข้าผู้เป็นพี่ และบิดามารดาซึ่งเคยมีความปรานีต่อท่านมาแต่เล็กแต่น้อยเถิดเจ้าข้า "
เปล่า พระมหาเถระเจ้าท่านจะได้รู้เห็นและเห็นจะได้ยินคำร้องของเปตรหนุ่มพี่ชาย ซึ่งอุตสาห์กล่าวขอน้องมาอย่างยึดยาวนั้นแม้สักนิดหนึ่งก็หาไม่ท่านกลับนำหน้าพาเพื่อนสงฆ์เดินเรื่อยไป ราวกะว่าไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านมัวแต่สำรวมอินทรีย์ มิได้พิจารณาเหตุอะไรอื่นเช่นเดียวกับนำหน้าพาเพื่อนสงฆ์เดินเรื่อยไป ราวกะว่าไม่มีเหตุอะไรอื่นเช่นเดียวกับเมื่อคืนนี้เอง เปตรหนุ่มผู้มีกรรมเมื่อเห็นพระน้องชายไม่เห็น และไม่รู้เรื่องที่ตนบอกเดินเฉยเลยไปดังนั้น พลันใบหน้าที่เศร้าอยู่โดยปรกติธรรมดาก็ยิ่งเศร้าดำลงไปอีกด้วยความผิดหวัง เดินโซเซโซซังเข้าไปยังที่อยู่ของเปตรแก่ผู้เป็นพ่อแลแม่แล้วแจ้งความให้ทราบ เปตรทั้งสองนั้นก็ช่วยกันพูดยุยงส่งเสริมให้มันเกิดกำลังใจพยายามไปขอส่วนบุญพระน้องชายอีกต่อไป เพราะไม่มีทางใดที่จะทำให้ได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
อุตสาห์ไปเฝ้าดักหน้าพระอรหันต์ผู้เป็นน้องชาย ในเวลาที่ท่านลงมาจากภูเขาเพื่อเข้าไปโคจรบิณฑบาตในหมู่บ้านเป็นเวลานานหลายวันในที่สุดความพยายามของมันก็เป็นผลสำเร็จ
เพราะเช้าวันหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าองค์อรหันต์ท่านบังเอิญเหลือบเห็นเปตรพี่ชายด้วยทิพยจักษุ ตามวิสัยแห่งพระอรหันต์ผู้ได้บรรลุฌานอภิญญา เมื่อทราบจากปากคำของเปตรพี่ชายว่าบิดามารดาได้รับความทุกข์มาบังเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปตร และมีเตนาเลื่อมใสใคร่จักอนุโทนาส่วนกุศลเช่นนั้น ท่านจึงบอกแก่เปตรพี่ชายไปว่า
" เอาเถิด.... เราจะยังความปรารถนาของท่านทั้งหลายให้สำเร็จ ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจคอยอนุโมทนาให้ดีก็แล้วกัน ในเพลาสายวันนี้ "
บอกแก่เปตรพี่ชายฉะนี้แล้ว ท่านก็เดินนำหน้าพาเพื่อนสงฆ์เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ครั้นได้อาหารพอเป็นยาปนมัตแล้ว ก็เดินทางกลับมาและขึ้นไปบนภูเขาอันเป็นที่พักก่อนที่จะฉันภัตตาหาร ท่านจึงกล่าวแก่เพื่อนสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า
" ดูก่อนอาวุโสทั้งปวง วันนี้กระผมใคร่จักขออาหารที่ท่านบิณฑบาตได้มาทั้งหมดทุกรูปในฐานะที่เราเป็นสหายกันจะได้หรือไม่ เพราะว่าบิดามารดาและพี่ชายของกระผมตายไปบังเกิดเป็นเปตรปรทุตตูปชีวี และตัวกระผมนี้มีความปรารถนาใคร่จักถวายสังฆทานแก่พระภิกษุสงฆ์สัก ๑๒ องค์
เพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปให้แก่เปตรผู้ป็นบิดามารดาและพี่ชายเหล่านั้นแต่อาหารที่กระผมบิณฑบาตได้มาในวันนี้ไม่เพียงพอ จึงใคร่ที่จักขอจากพวกท่านทั้งหลายในฐานะที่เป็นสหายกัน จักยินดีให้แก่กระผมได้หรือมิได้ "
" จะเป็นไรไปเล่า อาวุโส เอาเถิดส่วนเราทั้งปวงนี้ยินดียกอนุญาตให้ท่านขอท่านจงตั้งใจถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เปตชนตามอัธยาศัยแห่งท่านเถิด " พระภิกษุผู้เป็นสหายกันเหล่านั้น ยอมอนุญาตยกให้ด้วยความเต็มใจ
องค์อรหันต์ผู้ใคร่จะถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลแก่เปตรผู้เป็นญาติคนสำคัญ เมื่อได้รับอนุญาตจากเพื่อนสงฆ์ด้วยกันเช่นนั้น ก็ตักเอาอาหารที่ตนบิณฑบาตมาได้ใส่ลงไปในบาตรเหล่านั้น แล้วก็ตั้งจิตคิดถวายเป็นสังฆทาน เสร็จแล้วจึกยกเอาบาตรเหล่านั้นเข้าไปประเคนถวายคืนแก่เพื่อนสงฆ์ทั้ง ๑๒ รูป แล้วก็ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลว่า
เปตรร่างร้ายซึ่งเป็นพี่ชายและบิดามารดาผู้มีกรรมทั้ง ๓ ตน มาเดินเวียนวนเฝ้ารอคอยอยู่ ณ บริเวณนั้นเป็นเวลานานมาแล้ว ครั้นเห็นองค์อรหันต์เจ้าจัดการถวายสังฆทานแก่เพื่อนสงฆ์ด้วยกันตามที่บอกไว้ก็ให้ดีใจนักหนา
และฉับพลันที่พระมหาเถระเจ้าองค์อรหันต์กล่าวคำอุทิศให้แก่ตนจบลงก็ยกหัตถ์อันผอมเกร็งมีหนังหุ้มกระดูกขึ้นเหนือเศียรเกล้าตั้งจิตอนุโมทนาส่วนกุศลผลทานนั้น ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่ง และแล้วเปตรร่างร้ายทั้ง ๓ ตนนั้นก็ให้มีอันเป็นขาดใจตายพ้นจากเปตรวิสัยไปในบัดดล
ด้วยผลแห่งปัตตานุโมทนามัยกุศล ซึ่งเกิดขึ้นแก่ตนในขณะนั้นเข้าทำหน้าที่ให้ได้ปฏิสนธิในเทพวิสัย กลายเป็นเทวดารูปทรงงามสง่าสวมใส่อาภรณ์อันเป็นทิพย์ ความทุกข์ลำบากและความอยากความหิวโหยที่ตนได้รับมานานไม่รู้ว่ามันหายไปไหน
ขณะนี้มีแต่ความอิ่มกายอิ่มใจเข้ามาแทนที่ อดีตเปตรพี่ชายดูเหมือนว่าจะมีปัตตานุโมทนามัยมากกว่าเพื่อนเพราะฉะนั้น จึงทรงเพศเป็นเทพยดามีรัศมีโอภาสงดงามกว่าเทพยดาทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดา
เมื่อมีความปรารถนาจะกล่าวขอบคุณแก่องค์อรหันต์เป็นน้องชาย จึงแสดงกายให้ปรากฏแก่พระมหาเถระเจ้าและพระภิกษุหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นทั้งหมด แล้วน้อมกายเข้าไปถวายนมัสการแทบเท้าทั้งสองของพระมหาเถระเจ้าน้องชาย กล่าววาจาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจว่า
" ข้าแต่พระน้องชายผู้เจริญ ขอพระน้องชายจงดูสรีรกายแห่งพี่ในกาลบัดนี้ ด้วยว่าบัดนี้ตัวพี่และบิดามารดาได้บังเกิด เป็นเทพยดานุ่งหุ่มผ้าอันเป็นทิพย์ ล้วนแต่สวยงามนักหนาและได้เสวยสมบัติทิพย์นานาประการแสนจะเป็นสุข
เพราะได้อนุโมทนาส่วนบุญที่พ่ออุทิศให้ ขอพ่อจงอยู่เป็นสุขในมนุษยโลกนี้ต่อไปเถิด ส่วนพี่และบิดามารดา ซึ่งได้ดีมีความสุขเพราะความกรุณาปราณีจากพ่อ จะขอลาไปเสวยทิพย์สมบัติเป็นสูขต่อไปตามยถากรรม "
มีเทววาทีกล่าวฉะนี้แล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วกราบลงที่บาททั้งสองขององค์อรหันต์ผู้เป็นน้องชาย และถวายนมัสการลาพระภิกษุทั้งหลายแล้วก็อัตรธานหายวับไปกับตา...
สรุปความว่า ผู้ที่มีใจบาปหยาบช้าประกอบช้าประกอบอกุศลกรรมบถไว้ ผลวิบากแห่งอกุศลกรรมบถนั้นย่อมจะบันดาลให้เขาเป็นผู้มีคติวิบัติ คือ เมื่อเขาขาดใจตายไปแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นผู้มีคติผ่องแผ้ว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเรานี้ หรือไปเกิดในสคติโลกาวรรค์ได้ แต่จะถูกชักนำให้บ่ายโฉมหน้ามาเกิดในเปตรวิสัย หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ทุคติ " นี้โดยมีชีวิตเป็นเปตรได้รับทุกขเวทนาอย่างน่าสังเวชใจเป็นเวลานานแสนนานจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้ แล้วจึงจะได้ไปเกิดในภูมิอื่นตามยถากรรมดังนี้แล............