โลกเปตร
ชีวิตในโลกเปตต่าง ๆ

    โลกใหม่ที่บุคคลผู้มีกรรม ซึ่งผลวิบากอกุศลกรรมชักนำให้ไปเกิดกล่าวคืออบายภูมิโลกเปตรนั้น มันหาใช่มีสภาพเหมือนกับมนุษย์โลกที่เขาเคยอยู่ไม่ เพราะโลกเปตรนี้เป็นโลกที่มีความชั่วร้าย ไม่น่าอยู่อาศัยเป็นโลกที่ห่างไกลจากความสุขความสบาย

    ความจริงสัตว์ที่ไปเกิดในโลกเปตรนี้ แม้แต่ควาวมทุกข์ความเดือดร้อนน้อยกว่าสัตว์ในโลกนรกก็ตามถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าเขาจะเป็นสัตว์ที่ได้รับความสุข โดยที่แท้ยังห่างไกลจากความสุขสบายอยู่เป็นอันมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงบัญญัติชื่อเรียกโลกเปตรนี้ว่า เปตติวิสยภูมิ - ภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์เหล่าที่ห่างไกลจากความสุขสบาย

ชีวิตในโลกเปตร

    เมื่อจะกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ในเปตรวิสยภูมิ หรือโลกเปตรแล้ว เปตรทั้งหลายย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่กันออกไปมากมายหลายประเภท สุดแต่อำนาจแห่งอกุศลกรรมที่ตนทำไว้จักบันดาลให้เป็นไป ในที่นี้จักขอกล่าวถึงเปตรประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งมีราบชื่อปรากฏในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

๑ . วิชชาตเปตร

   เปตรพวกนี้นับว่าเป็นเปตรชั้นผู้ใหญ่ เป็นเปตรชั้นดีมีฤทธิ์มาก ตั้งอยู่ในฐานะเป็นดุจดังพญาเปตร ทั้งนี้ก็เพราะตนเคยเป็นผู้ที่พอจะรู้จักพระจตุราริยสัจธรรม แต่ไม่นำพาไม่สนใจปฏิบัติให้ถึง จึงมีความมัวเมาประมาท ทำทุจริตผิดพลาดประกอบอกุศลกรรมไว้ในปางก่อน จึงต้องมาเสวยวิบากแห่งกรรมเกิดเป็นเปตรอยู่ในตเปตรวิสัย ก็เปตรพวกนี้ย่อมมีปรกติอยู่ในแดนของเขาซึ่งตั้งอยู่เหนือโลกนรกขึ้นมา

    อยู่กันแต่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น เปตรพวกอื่นขะเข้าไปอยู่อาศัยปะปนด้วยไม่ได้ มีชีวิตเสวยกรรมเป็นเปตรอยู่อย่างนี้สิ้นกาลช้านาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะถือกำเนิดในภูมิอื่นต่อไป

๒. วันตาสาเปตร

    เปตรพวกนี้มีรูปร่างชั่วร้ายน่าเกลียด มีสถานที่อยู่ไม่แน่นอน ปรากฏว่าได้เสวยทุกข์เวทนามีความอดอยากความหิวโหยเป็นกำลัง

    บางครั้งพาสังขารเซซังมาสู่แดนมนุษย์ เห็นมนุษย์ทั้งหลายขากถ่มเสลดน้ำลายออกมา เปตรเหล่านี้ต่างก็พากันดีเนื้อดีใจ รีบตรงไปก้มหน้าลงดูดเอาโอชะแห่งเสลดน้ำลายของมนุษย์เหล่านั้น ได้กินเป็นอาหารหน่อยหนึ่ง แล้วก็หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม มันต่างพากันเที่ยวเดินโซซัดโซเซเสวยทุกขเวทนาโดยการเสวงหาเสลดน้ำลายกินเป็นอาหารอยู่อย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๓. กุณปขาทาเปตร

    เปตรประเภทนี้มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก มีสถานที่อยู่อันแน่นอนมิได้อีกเช่นกัน บางวันก็เที่ยวเพ่นพ่านเข้ามาถึงแดนมนุษย์เที่ยวซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหาร

    ครั้นเห็นซากอสุภะของมนุษย์ของสัตว์ที่กระทำกาลกิริยาแล้ว และกำลังเปื่อยพังเน่าเหม็นอย่างร้ายกาจเหลือหลาย เขาเหล่านั้นต่างพากันดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปก้มลงดูดโอชะอันเน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้นกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณ

    ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๔. คูถขาทาเปตร

   เปตรประเภทนี้รูปร่างน่าเกลียดน่าซัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางน่าอิดสะเอียนเป็นที่สุด เมื่อเที่ยวสะเปะสะปะมาถึงแดนมนุษย์ในบางครั้งแล้ว ครั้นเห็นมูตรคูถคืออุจจาระปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายทิ้งไว้ ก็พากันดีเนื้อดีใจ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นคลุ้งไป เพราะถ่ายไว้หลายวันหมักหมมไว้นานเป็นกองโตใหญ่ ก็ยิ่งชอบใจวิ่งรี่เข้าไปกองคูถมีกิริยาดุจสุนัขโซเห็นกองคูถกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีคูถมูตรเป็นอาหารอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

    เปตรกินอสุจิคือของไม่สอาดทั้ง ๓ จำพวก ซึ่งได้แก่วันตาสาเปตร เปตรกินเสลดน้ำลายของมนุษย์ ๑ กุณปขาทาเปตร เปตรกินซากอสุภะที่มีกลิ่นเน่าเหม็น ๑ คูถขาทาเปตร เปตรกินมูตรคูถที่มีกลิ่นเหม็นร้ายแรง ๑ ดังกล่าวมาแล้วนี้ บางทีท่านก็เรียกว่าเป็น "ปีศาจ" เพราะมีความหิวโหยเป็นกำลัง ทั้งมีปรกติเกิดในอสุจิไม่สอาดทั้งบริโภคของอสุจิไม่สะอาดอยู่เป็นเนืองนิตย์ โดยธรรมดาเป็นอาทิสมานกาย คือมีกายไม่ปรากฏในสามัญจักษุของมนุษย์ทั้งหลาย นอกจากตนต้องการจะแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น

๕ อัคคีชาลมุขาเปตร

   เปตรประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซสกปรกนักหนาที่ได้รับการตั้งชื่อว่าอัคคีชาลมุขาเปตร ก็เพราะเหตุที่เขาเหล่านนั้นถูกอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้มีเปลงไฟแลบออกมาจากปาก ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน

    ไฟเปตรไหม้ปากและลิ้นได้รับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสบร้อนอย่างแสนสาหัส ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องลั่นไปในเปตรวิสัย มันวิ่งร้องครางไปไกลตั้งร้อยโยชน์พันโยชน์ ไฟเปตรเวรกรรมนั้นก็หาดับไม่ มิหน่ำซ้ำไฟจัญไรกลับทวีความร้อนแรงเผาปากและลิ้นให้ได้รับความปวดร้าวหนักเข้าไปอีก

    ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีเปลวไฟเผาลนปาก และวิ่งร้องลั่นไปในแดนเปตรอย่างเพ่นพ่านอยู่เช่นนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนได้ทำไว้

๖ . สูจิมุขาเปตร

   เปตรประภทนี้มีรูปร่างแปลกพิกล คือ มีเท้าทั้งสองข้างใหญ่โต ท้องเท่าภูเขามีคอยาวมาก แต่มีปากเล็กเท่ารูเข็มเท่านั้น ได้อาหารตามวิสัยเปตรแล้ว กว่าจะบริโภคได้แต่ละมื้อแต่ละครั้งนั้นยากนักหนา ไม่พออิ่มไม่พออยาก เพราะเหตุที่ตนมีปากเล็กเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้โดยง่ายเลย

    ต้องเสวยทุกขเวทนาได้รับความลำบากเหลือหลาย มีรูปกายผอมโซแลดำเกรียม แลดูน่าเกลียดน่าชังสุดประมาณ ต้องเป็นเปตรหิวโหยเพราะอดอยากอาหารอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๗ . ตัญหาชิตาเปตร

    เปตรประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซเช่นเดียวกับเปตรประเภทอื่น เพราะความอดอยากโดยมาก ที่ได้ชื่อว่าตัญหาชิตาเปตรก็เพราะเหตุที่มีความอยากข้าวอยากน้ำเป็นกำลัง บางครั้งเดินตระเวรท่องเที่ยวเพื่อเสาะแสวงหาอาหารเรื่อยไป จนมาถึงแดนมนุษย์โลกเรานี้

    คราใดเหลือบสายตาไปแลเห็นสระ บ่อ บึง ห้วย หนองน้ำ และนทีก็ดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งเข้าไปหมายจะดื่มกินให้สมอยาก แต่ครั้นพอวิ่งไปถึงน้ำในบ่อบึงและนทีเป็นต้นนั้น ก็พลันกลับกลายเป็นสิ่งอื่นมิใช่น้ำไปเสีย ทั้งนี้ก็โดยอำนาจอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้เป็นไป

    เขาพลาดหวังไปดังนี้ ก็มีความเสียอกเสียใจเป็นอันมาก ต้องทนทุกขเวทนาเสวยกรรมได้รับความอดอยากอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลานานเป็นหมื่นเป็นแสนปี เขาไม่เคยได้เคยได้ยินคำว่า " ข้า " และคำว่า " น้ำ " เลยจนคำเดียว ต้องเปล่าเปลี่ยวเร่ร่อนพเนจรไปด้วยความอดอยากอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๘. นิชฌามกเปตร

    เปตรประเภทนี้มีรูปร่างสัณฐานแปลกกว่าเปตรประเภทอื่น โดยมีฟันขาว มีเขี้ยวยื่นงอกออกมาจากปาก ผมเผ้ายาวพะรุงพะรัง ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากข้างล้าง

    แลดูแสนจะทุเรศนัยน์ตาหนักหนา การที่พวกเขาจะได้ชื่อว่านิชฌามกเปตร ก็เพราะเหตุว่าพวกเขามีสัณฐานแลลักษณาการประดุจต้นตาลหรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกไฟไหม้สูงชลูดดำทะมึนแลดูน่ากลัว

    เนื้อตัวมีกลิ่นเน่าเหม็น ตีนและมือเป็นง่อยจะเคลื่อนไหวไปมามิได้ ยืนร้องไห้ร้องครวญครางเพราะความอดอยากหิวโหยอาหาร ต้องยืนทื่อทรมานอยู่กับที่โดยไม่มีอาหารจะบริโภคอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน นับจำนวนวันเดือนปีไม่ถ่วนไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๙. สัพพังคเปตร

    เปตรประเภทนี้มีสรีระร่างใหญ่โต มีเล็บตีนและเล็บมือยาวคม ความคมแห่งเล็บตีนเล็บมือของเขานั้น เปรียบประดุจความคมแห่งมีดและดาบมี่ลับไว้อย่างดี เล็บตีนและเล็บมือของเขานั้นมีสัณฐานงอเหมือนขอเหมือนเบ็ด

    ตลอดเวลาเปตรประเภทนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้เล็บตีนเล็บมืออันแปลกพิกล ข่วนตะกายร่างของตนเองให้ขาดวิ่นเป็นเเผลยับกระจุยกระจาย มีเลือดไหลออกมานองเนือง แล้วก็ดื่มกินซึ่งเลือดเนื้อของตนเองนั้นแลเป็นอาหาร

    พร้อมกันนั้นก็ร้องลั้นไปด้วยความเจ็บปวดต้องเสวยทุกขเวทนาเป็นเปตรมีเล็บมืออันคมกล้าข่วนตะกายควักเอาเนื้อเเห่งตนออกมากินเป็นอาหาร พร้อมกับร้องลั่นเอ็ดตะโรอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๐. ปัพพตังคเปตร

    เปตรประเภทนี้มีร่างกายโตใหญ่เหมือนบรรพตภูเขาและได้รับทุกขเวทนาอย่างน่าแปลกประหลาด คือ ในเพลาราตรี ทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกไฟไหม้ มีร่างกายสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟปรากฏแก่บุคคลผู้แลดูในที่ไกลประดุจภูเขาใหญ่ถูกไฟไหม้ลุกแดงฉะนั้น ในเพลากลางวัน ปรากฏเป็นควันระอุล้อมอยู่รอบกาย เขาต้องถูกไฟเปตรเผาครอกนอนกลิ้งไปกลิ้งมาดุจดงขอนไม้อันกลิ่งอยู่กลางไร่กล่างป่าเช่นนั้น

    ได้เสวยทุกขเวทนาดังว่าจะขาดใจตาย เหลือที่จะทนได้แล้ว ก็ร้องครางร้องครวญปริเทวนาการ มันเป็นเสียงร้อวครวญครางขนาดใหญ่โกลาหลทั้งนี้ก็เพราะว่าเปตรประเภทนี้มีหลายตนหลายเปตร ต้องเสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๑. อชคราทิเปตร

    เปตรประเภทนี้เป็นเปตรเบ็ดเตล็ด เพราะมีร่างกายแตกต่างกันหลายอย่างหลายชนิด โดยมีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปในเมืองมนุษย์โลกนี้ เช่น บางเปตรมีรูปร่างเหมือนกับงูเหลือม ควาย เหี้ย หมา ม้า ไก่ ปลา จระเข้ และบางรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ขี้เรื้อน มีรูปร่างแตกต่างกันไป เดินเพ่นพ่านขวักไขว่ปะปนกับเปตรวิสัย ถึงแม้จะมีรูปร่างลักษณะผิดแผกแตกต่างกันไปอย่างไร

    แต่ก็ถูกไฟเปตรเผาไหม้ตลอดร่างกายอยู่ทั่วทุกตัวเปตรเหมือนกัน ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว่น ต้องเสวยผลวิบากแห่งอกุศลกรรมเป็นเปตร มีรูปร่างแสนทุเรศได้รับทุกขเวทนาถูกไฟไหม้อยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๒. มหิทธิกาเปตร
เปตรประเภทนี้ เป็นเปตรมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ และทรงไว้ซึ่งรูปอันงดงามดุจเทพยดาทั้งหลาย แต่ว่าเป็นผู้ห่างไกลจากความสุขสบาย เพราะให้รู้สึกหิวโหยอาหาร เต็มไปด้วยความอดอยากเป็นยิ่งนัก ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งก็ตระเวนท่องเที่ยวจนถึงเมืองมนุษย์โลกเรานี้

    ครั้นประสบโชคดีได้พบเห็นของที่ไม่สอาดคือสิ่งโสโครกต่าง ๆ เช่น มูตรคูถในเวจกุฏิที่มนุษย์พากันไปถ่ายหมักหมุ่มไวเป็นเวลานานแรมปี

    ก็ตรงรี่วิ่งเข้าไปดูดเอาโอชะอันชั่วร้ายเน่าเหม็นนั้นกินเป็นอาหาร ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความอดอยากนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้

๑๓. เวมานิกเปตร

    เปตรประเภทนี้ดูว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าเปตรทุกประเภท เพราะหตุว่ามีสมบัติคือวิมานเป็นทองของทิพย์ บางครั้งได้เสวยความสุขประดุจดังว่าตนนั้นหรือคือเทพยดาเจ้า

    ปรารถนาจะเอาอะไรก็ได้ดังใจ และมีเปตรบริวารรับใช้มากมายอยู่หลายเปตร ไม่มีความเดือดร้อนเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่แล้วเมื่อถึงกาลกำหนดที่จะต้องเสวยทุกข์ตามประสาเปตร อกุศลกรรมวิบากก็เข้าทำหน้าที่บันดาลให้กลายเพศเป็นเปตรมีรูปร่างแสนจะน่าทุเรศและน่าเกลียดน่าชัง บางครั้งได้เสวยทุกขเวทนายิ่งกว่าเปตรธรรมดาเสียอีก ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีสภาพเป็นกึ่งเปตรกึ่งเทวดา ผลัดเปลี่ยนไปตามกาละอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้

    ฝูงเปตรทั้งหลายในเปตโลก เท่าที่ได้พรรณามานี้ เป็นผีปตรที่ปฏิสนธิเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งอกุศลของตนเอง ต้องเสวยวิบากแห่งอกุศลกรรมของตนไปจนกว่าจะหมดสิ้นกรรม

    รับส่วนบุญส่วนกุศลของใครไม่ได้ เพราะยังต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียดหูอื้อตาลาย จิตใจยังไม่มีความเลื่อมใสใคร่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลของใครถึงแม้ญาติในมนุษย์โลกนี้จักมีใจดีทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้ด้วยความห่วงใย

    จะทำบุญให้ใหญ่โตมโหฬารสักเท่าใดก็ดี พวกผีเปตรเหล่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญนั้นได้ ต่อเมื่อใดสิ้นกรรมเวรแล้ว มาเกิดเป็นเปตรประเภทคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลที่คนเราอุทิศให้แต่มนุษย์โลกนี้มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวีเปตร "

    เหล่าปรทัตตูปชีวีเปตรนี้ประเภทเดียวเท่านั้น เป็นเปตรที่สามารถจักรับส่วนนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงสังเกตจดจำไว้ให้ดี การที่เขาสามารถจักรับส่วนบุญได้นั้น ก็โดยเหตุที่เขาเป็นเปตรประเภทที่มีอกุศลบางเบา โมหะความโง่เขลาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษคลายออกจากจิตใจเป็นอันมากแล้ว

    เพราะฉะนั้น จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนบุญกุศล ปรทัตตูปชีวีเปตรบางตนมีความหิวโหย เพราะอดข้าวและน้ำมานานแสนนานนักหนา จึงเดินโซซัดโซเซเปะปะท่องเที่ยวไปมา พยายามนึกนึงหมู่ญาติของตนด้วยความคิดอันสับสนเลอะเลือนว่าเป็นมครอยู่ที่ไหนบ้าง

    ครั้นนึกได้ก็ค่อนพยุงกายเดินโซซังไป จนหระทั้งถึงบ้านญาตินั้นแล้วก็คอยอยู่ใกล้ ๆ อุตสาห์รอคอยอยู่หลายวันหลายเดือนหลายปีโดนมีความหวังว่า

    " เมื่อใดญาติของตูทำกุศลแล้ว เขาคงจักอุทิศให้แก่ตูบ้างกระมัง"

    ครั้นเห็นเหล่าญาติมัวนั่งเดินยืนนอน ทำอะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งไปตามประสามนุษย์ก็สุดที่จักกลุ้มใจ ได้แต่เฝ้ารำพึงอยู่ว่า

    " เมื่อใดเล่าหนา มนุษย์เหล่านี้จึงจะมีจิตเป็นกุศล ทำที่พึ่งอันแท้จริงแห่งตนด้วยการทำบุญให้ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่ตูเสียสักที มัวแต่วุ่นวายทำอะไรอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นจะเป็นแก่นสารเสียเลย"

    เฝ้ารำพึงด้วยความน้อยใจอยู่อย่างนี้แล้ว ก็รอคอยต่อไป ครั้นญาติทั้งหลายทำบุญกุศลแล้ว แต่ลืมอุทิศส่วนกุศล คือไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ หรือว่าได้ทำการกรวดน้ำอุทิศให้เปตชนเหมือนกัน

    แต่อุทิศให้แก่คนอื่น ไม่ได้อุทิศให้ตน ปรทัตตูปชีวีเปตรที่น่าสงสาร ก็เดินวนเวียนไปมาอยู่ ณ บริเวณนั้น ด้วยความเศร้าสร้อยผิดหวัง บางครั้งยังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจถึงกับล้มซบสลบลง ด้วยความหิวโหยสุดประมาณ พอได้ลืมตาขึ้นก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่อีกต่อไปว่า

    " ครั้งต่อไปเขาคงไม่ลืมตู เขาคงจะมีจิตคิดถึงตู และอุทิศส่วนกุศลให้ตูบ้างเป็นแน่"

    แล้วก็เฝ้าแต่แลดูว่า เมื่อใดญาติของตนจักเกิดจิตเป็นกุศล ทำบุญทำทานอีกสักครั้ง ความหวังของเขาบางทีก็สำเร็จบางทีก็ไม่สำเร็จที่กล่าวมานี้

    *หมายถึงปรทัตตูปชีวีเปตร ที่มีญาติเป็นพวกสัมมาทิฐิกชนคนนับถือพระบวรพุทธศาสนา

   แต่ถ้าเป็นเปตรที่มีญาติเป็นสัมมาทิฐิ ความหวังของเขาที่ว่าจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศลนั้นย่อมไม่มีวันที่จักสำเร็จลงได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลาย แม้จะได้ชื่อว่าทำบุญทำทานอยู่บ้างก็จริง แต่ส่วนกุศลผลทานที่เขาทำภายนอกพระบวรพุทธศาสนานั้น ไม่มีพลังแรงพอที่จักอุทิศส่งไปให้ถึงปรทัตตูปชีวีเปตรได้   แท้จริงการที่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปตรจักได้รับส่วนกุศลผลทานที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้แก่ตนได้นั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักหนา เพราะว่าจะต้องประกอบพร้อมไปด้วยเหตุสำคัญ ๓ ประการ คือ

    ๑ ทานที่เหล่าญาติและมิตรในมนุษย์โลกนี้กระทำนั้น ต้องเป็นทานที่ได้ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่า " สังฆทาน"

    ๒. เมื่อเหล่าญาติและมิตรถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรียกว่าสังฆทานแล้ว ต้องมีใจผ่องแผ้วตั้งจิตกวาดน้ำอุทิศส่วนกุศลที่ตนได้บำเพ็ญทานนั้นมุ่งไปให้แก่ปรทัตตูปชีวีเปตร

    ๓. ปรทัตตูปชีวีเปตรนั้น ต้องคอยรับและคอยอนุโมทนาด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นหนักหนา หากว่าทำเป็นมิรู้มิชี้ไม่มีใจเลื่อมใสใคร่จักอนุโมทนา ก็หาได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นไม่

    ต้องพร้อมไปด้วยองคคุณอันเป็นเหตุสำคัญ ๓ ประการนี้ ปรทัตตูปชีวีเปตรจึงจะสามารถได้รับส่วนกุศลผลบุญที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงวินิจฉัยใคร่ครวญดูเถิดว่า ปรทัตตูปชีวีเปตรซึ่งมีญาติและมิตรเป็นมิจฉาทิฐ จักมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลทานได้หรือไม่

    ถูกแล้ว......โอกาสที่เขาจักได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นน้อยนักหนา ถ้าจะให้พูดกันอย่างไม่เกรงใจใจก็ว่าไม่มีโอกาสเสียเลยนั้นแหละมากกว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิ ไม่มีโอกาสได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีล เพราะตนไม่มีศรัทธาเลื่อมใสแล้วอย่างนี้จะเอาส่วนกุศลผบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเกิดจากการถวายสังฆทานที่ไหน ไปกรวดน้ำอุทิศให้แก่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปตร ซึ่งเป็นญาติของตนเล่า ตกลงว่าเปตรเหล่านั้นก็ต้องคอยเปล่าคอยหายอยู่เป็นเวลานานแสนนาน ยิ่งในกาลที่โลกสูญสิ้นว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลแล้วปรทัตตูปชีวีเปตรทั้งหลายยิ่งไม่มีโอกาสที่จักได้รับส่วนกุศลผลทานได้เลยเพราะฉะนั้น

    จึงปรากฏว่าเปตรเหล่านี้บางต้องรอส่วนกุศลผลทานจากญาติของตนอยู่ เป็นเวลานานชั่วระยะเวลาตั้ง ๒-๓ พุทธันดรจึงจะได้รับเช่นเปตรญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น และบางทีเปตรเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้รับส่วนกุศลที่พวกญาติอุทิศให้เลย ได้แต่คอยเก้อคอยหายทนเป็นปรทัตตูปชีวีเปตรไปอย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมตายไปเอง

    ในกรณีนี้หากมีจะมีปัญหาว่า เมื่อปรทัตตูปชีวีเปตรได้ประสบโชคดีได้รับส่วนกุศลผลทานที่พวกญาติและมิตรอุทิศให้เเล้ว จักมีอะไรเกิดขึ้นแก่เขา?"   คำวิสัชนาก็มีว่า เมื่อปรทัตตูปชีวีเปตรโชคดีได้รับส่วนกุศลผลบุญที่พวกญาติและมิตรอุทิศให้แต่มนุษย์โลกเรานี้แล้ว เขาก็จะมีจิตผ่องแผ้วยกหัตถ์ขึ้นท่วมหัวแล้วอนุโมทนาสาธุการส่วนกุศลนั้นด้วยใจจริง   สำเร็จเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรม และแล้วด้วยอำนาจปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรมนั้น จักบันดาลให้เขาขาดใจตายในบัดดล พ้นจากความเป็นเปตรแล้วไปปฏิสนธิเป็นเทวดาเสวยพิพย์สมบัติอยู่ในสุคติทันที เพื่อความเข้าในเรื่องนี้ได้โดยง่าย จักขอนำเอาตัวอย่างแต่ปางบรรพ์มาเล่าไว้ในที่นี้ ดังต่อไปนี้.........
จากหนังสือกรรมทีปนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร)