คำของเปรต
( หัวใจเปรต )

   สมัยที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงประกาศสัจธรรมเผยแผ่พระบวรพุทธศาสนาอยู่ในโลกนั้น คราวหนึ่งพระองค์พร้อมด้วยพระสงค์สาวกอรหันต์ขีณาสพประมาณ ๒๐,๐๐๐ องค์ ได้เสด็จมาถึงพระนครพาราณสี ชาวเมืองทั้งหลายครั้นได้เห็นสมเด็จพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐมากมายเช่นนั้น ต่างก็พากันตื่นเต่นดีใจด้วยความเลื่อมใสเป็นอันมาก ชักชวนกันบริจากทรัพย์ถวายอาคันตุกทานเป็นการใหญ่ ปราชาชนทั้งหลาย ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง หลายคนบ้าง ได้สามัคคีร่วมใจกันเป็นเจ้าภาพจัดอาหารบิณฑบาตถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทะเจ้าทรงเป็นประธาน นับเป็นเวลานานหลายวัน

   ครั้งนั้นยังมีลูกเศรษฐี ๔ คน ซึ่งพ่อแม่ของต่างก็ทรัพย์มากมายถึงคนละ ๔๐ โกฏ ลูกชายของเศรษฐีทั้ง ๔ นั้นกำลังรุ่นดรุณวัยเป็นสหายรักกันมาก เมื่อเห็นคนทั้งหลายพากันบริจากทาน ถวายอาหารเลี้ยงพระสงฆ์เป็นการใหญ่เช่นนั้น แทนที่จะเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันทำบุญทำทานกับเขา กลับมีใจดูหมิ่นดูเบา โดยคิดเห็นไปว่าคนทั้งหลายเป็นคนโง่เขลา เพราะบ้าศรัทธา

   “ ทำไปทำไมกันเว้ย .... บุญทาน ทำแล้วก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร มีแต่สิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติไปเปล่า ๆ การบูชาพระพุทธเจ้าและการรักษาศีลก็เหมือนกัน จะทำไปทำไม ? คิดไปเท่าไหร่ ๆ ก็มองไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ เสียเวลาเปล่า ๆ” นี่คือมติร่วมกันเอกฉันท์ของเขาทั้ง ๔ ในขณะที่เขาร่วมประชุมกันในวันหนึ่ง

   “แล้วเราจักทำอย่างไรดีเล่า พ่อแม่ของเราท่านได้สร้างทรัพย์สมบัติไว้ให้เรามากมาย ลำพังจะกินจะใช้อีกกีสิบชาติก็คงจะไม่หมดไปง่าย ๆ พวกเราจะจัดการกับทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอย่างไรดี? คนหนึ่งถามขึ้น

   “ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเราพากันไปหาซื้อสุราอย่างดีที่สุด เอามาดื่ม โดยมีเนื้อที่มีรสที่ดีที่สุดเป็นกับแกล้มเป็นประจำ อย่างนี้เข้าใจว่าจะทำให้ชีวิตพวกเรามีรสชาติขึ้น เพื่อนเห็นด้วยกันเราหรือไม่? ” เศรษฐีบุตรผู้หนึ่งเสนอขึ้น

   “ ดีเหมือนกันเพื่อน แต่เราขอเสนอเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่ง คือว่านอกจากพวกเราจะดื่มสุราที่มีรสดีที่สุดเท่าที่จักหาได้ในเมืองนี้แล้ว เราควรข้าวปลาอาหารรสเลิศต่าง ๆ มาบริโภคเป็นประจำตลอดไปเห็นจะเป็นการดี” คนหนึ่งเสนอต่อไป

   “ เพื่อนเราลืมนึกถึงสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง กินเหล้าเมายาบริโภคอาหารดี ๆ หากว่าขาดนารีสวย ๆ มันจะไปเป็นท่าอะไร ฉะนั้นเราจักใช้ทรัพย์อันมากมายมหาศาลเป็นเครื่องล่อ ก็อิสตรีทั้งหลายที่จะได้ชื่อว่าปรารถนาทรัพย์เป็นอันไม่มี เราประเล้าประโลมด้วยทรัพย์แล้ว คงจักได้ตัวหล่อนมาเป็นสมบัติของเราสมความปรารถนา ไม่ว่าหล่อนจักเป็นใครก็ตาม” ลูกชายเศรษฐีคนสุดท้ายกล่าวขึ้น ตามวิสัยของคนที่มีสันดานเสีย

   ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ ผู้ไร้ศีลธรรม ต่างก็ตั้งหน้าประกอบอกุศลธรรมทำความชั่ว เสพสุรายาเมาเป็นอาจิณ ผิดศีลข้อที่ ๕ นอกจากนั้นยังกล้าประพฤติปรทาริกกรรม คือเห็นสัตรีสามทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นลูกเขาเมียใครหากตนพอใจแล้ว เป็นต้องหาอุบายเอามาเป็นเครื่องบำเรอความสุขแห่งตน โดยใช้ทรัพย์มหาศาลเป็นเครื่องล่อ

   ซึ่งเป็นการประพฤติผิดศีลข้อกาเมสุมิฉาจาร พวกเขาพากันเฝ้าล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาสั่งสมไว้ให้ ไปในทางที่ชั่วช้าลามกอยู่อย่างนี้เป็นเนืองนิตย์ เมื่อเขาเหล่านั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว กรรมชั่วทั้งหลายที่เขาได้พากันกระทำไว้นั้น ก็พลันกลับกลายเป็นชนกกรรม แล้วฉุดกระชากชักนำพวกเขาทั้ง ๔ ตรงดิ่งไปปฏิสนธิ ณ อเวจีมหานรกแดนนิรยภูมิ

   เกิดกายเป็นสัตว์นรกตัวใหญ่ ๔ ตน ทนทุกขเวทนาแสนสาหัสสุดที่จะประมาณ ต้องถูกไฟในอเวจีมหานรกอันแรงร้ายเผาไหม้กายตนอยู่ตลอดเวลาไม่ว่างเว่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว สัตว์นรกเหล่านั้น ครั้นเสวยทุกขโทษถูกไม่ว่างเว้นมหานรกไหม้กาย ได้รับความแสปปวดร้อนอยู่นานตลอดเวลาพุทธันดรหนึ่งแล้วก็สิ้นกรรม จึงพากันจุติจากอเวจีมหารกนั้น แต่ว่าเศษกรรมชั่วที่ตัวทำไว้ยังไม่สิ้น ดังนั้น

   เขาจึงพากันมาเกิดเป็นสัตว์นรก ณ โลหกุมภีนรกร้าย ซึ่งมีความกว้างใหญ่นั้น ครั้นมะงุมมะหงาหราเวียนว่าย ณ พื้นภายในหม้อนรกเหล็กแดงโลหกุมภี สิ้นเวลานานนักหนาแล้ว ก็พยายามกระเสือกกระสนจะว่ายขึ้นมาเบื้องบนให้ได้ พวกเขาต้องใช้ความมานะพยายามเป็นอย่างมาก โดยหวังที่จะว่ายขึ้นมาให้ถึงปากหม้อโลหกุมภีนั้น ย่อมมีสภาพเหมือนกับข้าวสารที่เขาเอาใส่แล้วต้มเคี่ยวในหม้อน้ำซึ่งกำลังเดือดพล่าน

   มีอาการดำผุดดำว่ายโผล่ขึ้นมาแล้วก็จมลงไป และโผล่ขึ้นมาอีกแล้วก็จมลงไป เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปเป็นนิตย์ ลูกชายเศรษฐีเจ้าราญทั้ง ๔ ที่เรากำลังพูดถึงนี้ก็เหมือนกัน ขณะนี้ เขามีสภาพเหมือนกับเมล็ดข้าวสารที่กำลังถูกเคี่ยวอยู่ในหม้ออันเดือดพล่าน การที่เขาหวังจะโผล่ศีรษะขึ้นมาที่ปากหม้อจึงเป็นความหวังที่เลือนลางเต็มที แต่เขาก็หาหมดความพยายามไม่ อุตสาหะว่ายตะเกียกตะกายเรื่อยไป ในที่สุด

   หลังจากที่ได้ใช้ความพยายามอยู่เป็นเวลานานถึง ๖๐,๐๐๐ ปี ด้วยการนับปีมนุษย์โลกเรานี้แล้ว คราวหนึ่งเขาทั้ง ๔ ผู้ซึ่งเป็นชาวนรกโลหกุมภี ได้ผงกศีรษะขึ้นมาเจอหน้ากันอย่างพรั่งพร้อมที่ปากหม้อพอดี

   ณ สถานที่นั้น ด้วยความอันอั้ดตันใจที่ตนได้เสวยทุกขโทษอย่างสาหัสมาเป็นเวลานานนักหนา ตั้งแต่คราที่อยู่ในอเวจีมหานรก แม้จนกระทั้งบัดนี้ มาเกิดอยู่ที่นรกโลหกุมภี ก็ยังไม่เคยได้รับความสุขสบายเลยแม้วินาทีเดียว สัตว์นรกตนหนึ่งซึ่งมีหน้าตาเศร้า ครั้นมาประสบหน้าเพื่อนเข้าพร้อมหน้ากันดังนั้น ก็พลันดีใจ ใคร่จะระบายความทุกข์อันสุมอกมานานเหลือเกิน จึงมีความประสงค์ที่จะกล่าวว่า

    “ ทุชฺชีวิตมชีมฺหา.....น่าอนาถเป็นหนักหนา เพราะว่าพวกเราไม่ได้ทำบุญให้ทาน จึงต้องมาพบพานพบชีวิตอันแสนร้ายได้รับทุกข์ทรมานเห็นปานนี้ เมื่อทรัพย์สมบัติมีอยู่ในอดีตกาลโน้น พวกเราก็หาได้คิดที่จะทำที่พึ่งให้แก่ตนไม่ ”

   แต่เป็นที่น่าเศร้าเสียใจไปกับสัตว์นรกตนนั้นยิ่งนัก เพราะว่าเขาไม่อาจที่จักกล่าวประโยคคำพูดดังที่ตนประสงค์ได้หมดประโยค เพราะไม่มีเวลา พอเอ่ยปากกล่าวได้แต่เพียงครึ่งคำออกมาว่า ทู.... กล่าวได้แต่เพียงเท่านี้แท้ ๆ ก็พลันหายวับจมลงไปในหม้อเหล็กใหญ่ที่เดือดพล่านไปอีกตามเดิม

   ในขณะที่บังเอิญโผล่มาพบหน้าเพื่อนรักกันนั้น สัตว์นรกบุตรเศรษฐีผู้มีกรรมตนที่ ๒ ก็มีความประสงค์จะระบายความอัดอั้นตันใจแก่เพื่อนทั้งหลายอยู่เหมือนกัน โดยมีความประสงค์จะกล่าวเป็นเชิงปรึกษาหารือว่า

    “ สุฏฐีวสฺสสหส์สานิ ..... เพื่อนเอ๋ย ตั้งแต่เราดำผุดดำว่ายอยุ่ในหม้อนรกอันร้อนแรงนี้ ถ้าจะประมาณก็เป็นเวลานานถึง ๖๐,๐๐๐ ปีแล้วเมื่อไรเล่าจึงจักพ้นนรกนี้เสียทีเล่า”

   แต่เขาไม่อาจที่จะกล่าวประโยคคำพูดดังที่ตนประสงค์ได้หมด พอเอ่ยปากกล่าวได้แต่เพียงครึ้งคำออกมาว่า ส.... กล่าวได้แต่เพียงนี้เท่านั้นแท้ ๆ ก็พลันหายวับจมลงไปในหม้อเหล็กใหญ่ที่เดือดพล่านต่อไปอีกตามเดิม

   ด้วยอาการกลุ้มอกกลุ้มใจและเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างหนัก ตามแบบฉบับของสัตว์นรกผู้ต้องทนทุกขเวทนาามาเป็นเวลานาน สัตว์นรกคนที่ ๓ พอเห็นหน้าเพื่อนกันในครึ้งเสี่ยวแห่งวินาทีนั้น ก็มีความประสงค์ใคร่จะระบายความในใจออกมาว่า

    “ นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต..... ไม่มีวันพ้น วันพ้นโทษอันร้ายกาจนี้จะมีแต่ที่ไหน วันพ้นโทษอันร้ายแรงนี้ ไม่มีวี่แววว่าจักปรากฏขึ้นเลย สหาย! ปาบกรรมความชั่วที่ตัวเราและท่านได้เคยกระทำไว้ในกาลก่อนได้ย้อนมาให้ผลอย่างสาสมแล้ว”

   แต่เขาไม่อาจที่จักกล่าวประโยคคำพูดดังที่ตนประสงค์นี้ได้ทั้งหมดพอเอ่ยปากกล่าวได้เพียงครึ้งอักษรแรกออกมาว่า น..... กล่าวได้แต่เพียงอักษรเดียวนี้แท้ ๆ เท่านั้น ก็พลันหายวับจมลงไปในหม้อใหญ่ที่เดือดพล่านต่อไปอีกตามเดิม

   ด้วยใบหน้าอันเศร้าหมองบอกความไม่ผ่องใส ตามลักษณาการแห่งสัตว์นรกผู้เพิ่งรู้สึกเสียใจในกรณีที่ตนไม่เคยทำความดีเอาไว้ สัตว์นรกตนที่ ๔ พอบังเอิญโผล่มาเจอหน้าเพื่อนในชณะนั้น ก็มีความประสงค์ที่จะรำพันออกมาว่า

    “ โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา.... เราพ้นจากทุกขเวทนาในแดนนรกนี้ไปเมื่อได้โอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว เราจักไม่ทำกิจอย่างอื่นอีกเลย นอกจากจะตั้งหน้าบริจากทานและรักษาศีลเป็นการใหญ่ทีเดียว เรานี้จักตั้งใจประกอบกองกุศลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ”

   แต่เขาไม่อาจที่จักกล่าวประโยคคำพูดดังที่ตนประสงค์ได้ทั้งหมด พอเอ่ยปากกล่าวได้เพียงอักษรแรกครึ้งคำออกมาว่า โส.... กล่าวได้เพียงอักษรเดียวเท่านั้น ก็พลันหายวับจมลงไปในหม้อเหล็กนรกโลหกุมภีต่อไป เช่นเดียวกับเพื่อนรักทั้งหลาย ต้องดำผุดดำว่ายทนทุกขเวทนาอยู่ในหม้อเหล็กใหญ่นั้น จนป่านนี้ก็ยังไม่พ้นโทษ

   คำโอดครวญของสัตว์นรก ๔ ตนที่กล่าวครั้งนั้น คือ คำว่า ทุ. ส. น. โส. นี้เป็นที่เลื่องลือมานาน และเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางทั่วไปในหมู่มนุษบ์ชาวพุทธบริษัท ถึงกับเกจิอาจารย์บางท่านพากันบัญญัติให้รู้กันว่า คำ ๔ คำนี้เป็นหัวใจเปรต ! เหตไฉนจึงกล่าวพลาดไพล่ไปว่าเป็นหัวใจเปรตก็สุดจะเดาได้ เพราะความจริงนั้นควรจะบัญญัติเป็นหัวใจสัตว์นรกจะเหมาะกว่าเป็นไหน ๆ ทั้งนี้ก็เพราะคำ ๔ คำนี้ เป็นคำที่ชาวนรกโลหกุมภีทั้ง ๔ กล่าวเอาไว้

   แต่ไม่ว่าจะเป็นหัวใจเปรตหรือหัวใจสัตว์นรกก็ตามที ปัญหาที่เราควรคำนึงนึกจาการที่ได้ติดตามเรื่องนี้มา ก็คือว่า ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ แต่เดิมทีนั้นเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก แต่มีความประมาทและโง่เขล่า ทั้ง ๆ ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัสในโลกและเสด็จมาโปรดปราชาชนจนถึงบ้านเมืองของตน แทนที่เขาจะมีใจเลื่อมใสรีบขวนขวายประกอบกองการกุศลเช่นคนทั้งหลายอื่น กลับมีน้ำใสโหดหื่นคิดดูหมิ่นในบุญประแต่อกุศลกรรมความชั่วช้าลามก ครั้นตายไป จึงต้องตกนรกอเวจีและโลหกุมภีนรก ด้วยอำนาจแห่งกรราชั่วนั้นมันกลายเป็นชนกกรรมนำให้เขาไปเกิด ครั้นไปเกิดเป็นสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานหนัก ๆ เข้าจึงได้รู้สำนึกตน แต่การที่พวกเขาเพิ่งมาสำนึกตนได้แต่พร่ำบ่นอยู่ในนรกนั้น

   มันเป็นการสายเสียแล้วแต่พวกเราเวลานี้น่ะยังไม่สาย คือพวกเราที่ยังเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอยู่ในขณะนี้ ขอจงมีใจเลื่อมใสในพระโอวาทานุสสนี แล้วรีบเร่งประกอบคุณงามความดีอันเป็นบุญเป็นกุศลเข้าให้จงได้มากเถิด เพราะกุศลกรรมความดีที่เราทำไว้ในขณะนี้ จักเป็นเครื่องปิดกั้นชนกกรรมฝ่ายอกุศลเมื่อเวลาตาย แต่ถ้ามีใจชั่ว เกิดความมัวเมาประมาทพลาดพลั้งกระทำอกุศลกรรมอยู่เนือง ๆ โดยไม่นึกถึงวันตาย อกุศลกรรมที่ทำไว้เสมอนั้น ก็พลันกลายเป็นชนกกรรม ชักนำไปปฏิสนธิในอบายภูมิ และบางทีอาจจะถึงกับต้องรำพันโอดครวญออกมาดังเช่นชาวโลหกุมภีนรก ๔ ตนนั้นก็เป็นได้ ด้วยประการฉะนี้

   ส่วนชนกกรรมที่เป็นฝ่ายกุศลนั้น เมื่อทำหน้าที่ชักนำปฏิสนธิยังสัตว์ทั้งหลายให้เกิด ย่อมผลักดันสัตว์ให้ไปเกิดในสุคคติภูมิ อันเป็นภูมิที่ดีมีความสุขคือสรวงสวรรค์ ตามสมควรแก่กรรมที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำไว้.....

จากหนังสือกรรมทีปนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร)