แรงกรรม

   อดีตกาลนานมาแล้ว ยังมีทารกเลี้ยงโค ๗ คนเป็นเพื่อนกัน ทารกเหล่านั้นต้อนโคไปให้กินหญ้าแห่งละ ๗ วันได้ไปซ้ำกันในที่เดียวนั้นหามิได้ คราวหนึ่ง พวกเขาพากันต้อนโคทั้งหลายไปให้กินหญ้าในที่หลายไปให้กินหญ้าในที่แห่งหนึ่งเป็นเวลานานถึง ๖ วันแล้ว ในวันที่คำรบ ๗ บังเอิญได้พบเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งจึงพากันไล่จับดักหน้าดักหลัง เหี้ยใหญ่เห็นภัยบังเกิดขึ้นแก่ตนเช่นนั้น

   ก็พลันตกใจสุดขีด วิ่งหนีเอาตัวรอดอุตลุด ในที่สุดก็วิ่งหนีเข้าไปในจอมปลวก แห่งหนึ่ง ทารกโคบาลทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า

    " เพลาวันนี้เย็นแล้ว พวกเราจะจับเหี้ยใหญ่ให้ได้ดังใจปรารถนาก็เห็นจะค่ำมืด ทางที่ดีพวกเราควรจักหาใบไม้มาอุดรู ขังเจ้าเหี้ยใหญ่ไว้ในจอมปลวกนี้ก่อนดีกว่า เพลาพรุ้งนี้จึงค่อยมาจับมันใหม่"

    ปรึกษากันดังนี้แล้ว ก็หักกิ่งไม้มาคนละกิ่งสองกิ่งอุดรูจอมปลวกขังเหี้ยใหญ่ไว้ในนั้นแล้วก็พากันกลับไปบ้าน วันรุ้งขึ้นพอได้เวลาโคบาลทั้ง ๗ นั้น ก็พาพากันต้อนฝูงโคไปเลี้ยงในประเทศถิ่นอื่น โดยลืมนึงถึงเหี้ยที่ตนกักขังไว้ในจอมปลวกเสียสนิท ๗ วันผ่านไป ครั้นถึงวันที่ ๘ จึงได้พากันต้อนโคให้มากินหญ้าในประเทศถิ่นนั้นใหม่ เห็นจอมปลวกนั้นก็พลันระลึกขึ้นได้ว่า " พวกเราปิดรูจอมปลวกกักขังเหี้ยไว้ บัดนี้เหี้ยจักเป็นประการใดหนอ" ระลึกขึ้นได้ด้วยความตกใจเช่นนี้ ต่างคนก็กระวีกระวาดวิ่งมาแล้วพากันไปดิ่งกิ่งไม้ที่ตนอุดไว้ ฝ่ายเหี้ยนั้น ครั้นเห็นช่องแห่งจอมปลวกเปิดแล้ว ก็มิได้มีความอาลัยแก่ชีวิตรีบคลานออกมาโดยช่องแห่งจอมปลวกนั้น ด้วยอาการอันน่าสงสาร ทั้งนี้ก็เพราะเหตุอดอาหารมานานเป็นเวลาหลายวัน ทารกโคบาลทั้งหลาย

   ครั้นเห็นเหี้ยใหญ่ซึ่งมีกายอันสั่นและผอมแห้งเหลืองแต่หนังหุ้มกระดูกเพราะขาดอาหาร ค่อยคลานออกมาเช่นนั้น ก็พลันบังเกิดความสงสาร ยิ่งเห็นมันมองตนด้วยสายตาละห้อยคล้ายกับระร้องขอชีวิตอยู่อีกเล่า ก็ยิ่งให้บังเกิดความกรุณาสงสารขึ้นอีกเป็นทวีคูณ จึงกล่าวแก่กันและกันว่า

   " เราทั้งหลายอย่าได้ประทุษร้ายมันเลย มันได้รับทุกขเวทนาอดอาหารเป็นเวลานาน มีอาการจะตายเช่นนี้ก็เพราะเราทั้งหลายเป็นเหตุฉะนั้นพวกเราจงช่วยกันพยาบาลมันเถิด"

   ว่าแล้วก็ช่วยกันบีบนวดกายแห่งเหี้ยนั้น ทำการพยาบาลไปตามประสาทารก เมื่อสังเกตุเห็นว่าเหี้ยเคราะห์ร้ายนั้น มันมีอาการค่อยแข็งแรงขึ้นแล้ว ก็ลูบหลังแล้วกล่าวว่า " ดูกรเจ้าเหี้ยเอ๋ย! ขอเจ้าจงมีอายุยืนและเที่ยวหากินไปตามยถากรรมของเจ้าเถิด" กล่าวดังนี้แล้ว ก็ปล่อยเหี้ยใหญ่นั้นให้เข้าป่าไป

   ทารกโคบาลทั้ง ๗ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกัน ได้ประกอบกรรมอันสำเร็จเป็นกุศลปราปริยเวทนียกรรมเช่นนี้

   เมื่อถึงแก่ชีพพิตักษัยในชาตินั้นแล้วจะได้บังเกิดในอบายภูมิ คือไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกเป็นต้นก็หามิได้ทั้งนี้ก็เพราะกรรมที่ตนทำไว้มิได้เป็นบาปหนักถึงขั้นสำเร็จเป็นอุปปัชฌาเวทนียกรรม แต่กรรมอันเล็กน้อยที่พวกเขาไว้ก็ย่อมมีอยู่ และคอยติดตามพวกเขาเรื่อยไป แต่กรรมไม่ได้โอกาส จวบจนกระทั้ง.......

   กาลเมื่อองค์สมเด็จพระสรรเพชญศรีศากยมุนีโคดมบรมโลกนายกเสด็จมาอุบัติตรัสในโลก ทารกผู้มีอกุศลอปปริยเวทนียกรรมทั้ง ๗ นั้นได้พากันกลับมาเกิดเป็นคนในมนุษย์โลกนี้อีก

   ครั้นเติบใหญ่เจริญวัยแล้วก็เป็นเพื่อนรักกันอีกเหมือนชาติก่อน วันหนึ่งมีโอกาสได้สดับคำสอนแห่งพระพุทธศาสนาเกิดมีศรัทธาเลื่อมใส เบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย แลเห็นภัยในวัฏสงสาร จึงพร้อมใจกันเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา เข้าจำพรรษาบำเพ็ญศาสนากิจอยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง ครั้นถึงวันปวรณาออกพรรษาแล้ว ภิกษุหนุ่มทั้ง ๗ นั้นมีใจผ่อมแผ้วปรารถนาใคร่จักได้ทอดพระทัศนาและกระทำการบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี จึงพากันลงสู่นาวามาด้วยกับวาณิชทั้งหลาย ครั้นนาวาแล่นมาถึงที่หมายแล้วพระภิกษุเหล่านั้นก็พากันขึ้นจากนาวา เดินไปตามมรรคาสายที่จะไปสู่กรุงสาวัตถี เดินทางมาตามสบาย พอถึงเพลาสายัณหสมัยใกล้ค่ำ พบอาวาสอันเป็นที่อยู่แห่งพระภิกษุสงฆ์ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บรรพตแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปหาพระภิกษุผู้เป็นเจ้าอาวาสแล้วแจ้งความว่าจะขอพักอาศัยสักคืนหนึ่ง

   " ขอต้อนรับด้วยความเต็มใจ สหธรรมิกทั้งหลาย" ภิกษุเจ้าอาวาสกล่าวรับรองด้วยใจจริง แล้วกล่าวต่อไปว่า " แต่เสนาสนะในอาวาสนี้ไม่มีพอ เพราะเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในกลางป่า แต่ว่าที่ใกล้ ๆ วัดนี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเป็นที่สงบสงัดดีนัก เหมาะสำหรับจะเป็นที่พักของอาคันตุกภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้น กระผมจึงให้คนตกแต่งเสนาสนะไว้ในถ้ำนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่มีความรังเกียจ นิมนต์ตามกระผมมา กระผมจะพาท่านไปพักในถ้ำที่ว่านั้น "

   ภิกษุเจ้าอาวาสผู้มีใจอารี กล่าวดังนี้แล้ว ก็พาพระภิกษุทั้ง ๗ นันไปพักยังถ้ำซึ่งจัดไว้เป็นที่รับรองพระอาคันตุกะผู้จรมา ในถ้ำนั้นมีเตียงอยู่ ๗ เตียง พระภิกษุทั้ง ๗ องค์นั้นก็พอดีได้มีโอกาสพักผ่อนหลับนอนอยู่บนเตียง ๆ ละองค์

   เมื่อจัดแจงให้พระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายหลับนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าอาวาสลากลับไปแล้ว ก็แยกย้ายกันขึ้นเตียงอันเป็นที่พักของตน ในไม่ช้าต่างก็พากันเข้าสู่นิทรารมณ์หลับใหล ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการที่ได้เดินทางตรากตรำมาเป็นเวลานาน และแล้วในขณะที่พระภิกษุทั้งหลายกกำลังนอนหลับใหลอย่างไร้สติสมปฤดีอยู่นั้นเอง

    เหตุการณ์ประหลาดอันเป็นผลจากการตามมาทันแห่งอปราปริยเวทนียกรรมฝ่ายอกุศล ที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ในชาติที่เกิดเป็นเด็กโคบาลขังเหี้ยใหญ่ ก็พลันบังเกิดขึ้นในยามดึกราตรีนั้นทันที นั้นคือ ศิลาแผ่นใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่ใกล้ ๆ ปากถ้ำนั้น มันค่อย ๆ เขยื่อนเลื้อนมาแล้วปิดประตูถ้ำไว้อย่างแน่นหนาเป็นอัศจรรย์ โดยพระภิกษุเหล่านั้นจะได้รู้สึกตัวก็หาไม่ เพราะกำลังนอนหลับใหลอย่างสบายอารมณ์อยู่

   เข้าตรู่วันรุ้งขึ้น พระภิกษุรูปหนึ่งตื่นขึ้นก่อน ปรารถนาจักได้น้ำล้างหน้า จึงลงมาจากเตียงเดินไปที่ประตู เห็นมีก้อนหินมาปิดอยู่ จึงลองเอามือผลักดูค่อย ๆ ก้อนหินศิลานั้นจักได้เขยื่อนแม้แต่สังหน่อยก้หาไม่

   เกิดแอะใจขึ้นมา จึงปลุกสหายให้ตื่นขึ้นมาแล้วมาช่วยกันผลัก แม้จะรวมกำลังกันเป็น ๗ แรงแข็งขัน ผลักก้อนหินใหญ่นั้นสักเท่าใด แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามันจะเขยื่นเคลื่อนที่ประการใด ในที่สุด จึงลงนั่งกอดเข่าปรึกษาหาเหตุผล ในกรณีที่มีแผ่นศิลามาปิดปากถ้า แล้วก็ลงมติโดยการเดาเอาไปในทำนองที่ว่า

   " การที่มีแผ่นศิลามาปิดปากถ้ำนี้ ชะรอยจักเป็นความกรุณาปรานีของท่านเจ้าอาวาสโดยท่านเห็นว่าพวกเราอาจจะได้รับอัตรายอย่างใดอย่างหนึ่งในยามราตรี จึงขวนขวายหาวิธีกลิ้งแผ่นศิลามาปิดประตูเสียในขณะที่พวกเรากำลังหลับอยู่ รออีกสักครู่ประเดี๋ยวเถิดท่านเจ้าอาวาสผู้มีใจปรานีนั้น ก็คงจักมาเปิดประตูถ้ำนี้ให้เอง"

   พระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายเข้าใจเอาเองเช่นนี้แล้ว ต่างก็พากันนั่งรอเวลาที่ท่านเจ้าอาวาสจะมาเปิดถ้ำให้ด้วยใจเย็น นั่งรออยู่เป็นเวลานาน กาลเวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งเพลาสาย ในที่เย็นของพระภิกษุเหล่านั้นก็กลายเป็นกระสับกระส่าย เพราะไม่มีน้ำที่บ้วนปากล้างหน้า

   ทั้งข้าวปลาอาหารที่จะขบฉันก็มิได้มี เมื่อสุดที่จักอดทนได้แล้ว จึงระดมกำลังช่วยกันผลักไสแผ่นศิลานั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างสุดแรงเกิดทุก ๆ รูปผลปรากฏคงเดิม คือแผ่นศิลาที่ปิดประตูถ้ำอยู่นั้นจะได้เคลื่อนไหวแม้แต่สักนิดหนึ่งก็หาไม่ ยังคงประดิษฐานตั้งมั่นอยู่เหมือนเดิม

   ฝ่ายท่านเจ้าอาวาสผู้มีใจอารี พอตื่นขึ้นเพลาเช้าก็กระวีกระวาดจัดแจงน้ำฉันพร้อมทั้งภัตตาหารอย่างพิเศษ เพราะมีอาคันตุกะมาพักอาศัยมากถึง ๗ องค์ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรออยู่ในกุฏีแห่งตน โดยนึกว่าในไม่ช้าเมื่อพระอาคันตุกะตื่นขึ้นแล้ว ก็คงจะพากันมาล้างหน้าล้างตาและฉันภัตตาหารที่กุฏิตามที่ได้อาราธนาไว้

   นั่งรออยู่จนสายผิดสังเกตุก็ยังไม่เห็นพระภิกษุเหล่านั้นมาสักที จึงใช้ให้พระภิกษุลูกวัดรูปหนึ่งไปนิมนต์

   "ข้าแต่พระเดชพระคุณ! พระอาคุนตุกะเหล่านั้นออกมาจากถ้ำไม่ได้เพราะมีก้อนศิลาใหญ่ก้อนหนึ่งปิดประตูถ้ำไว้ ขอรับกระผม" ภิกษุรูปนั้นรีบกลับมารายงาน

   " ก้อนศิลาอะไรกัน?" ท่านเจ้าอาวาสถามด้วยความสงสัย เอ๊ะ! มันน่าแปลกใจก้อนศิลาอะไรที่ไหนจะมาปิดปากถ้ำ เรานี้ให้แปลกใจนัก มีพระมาพักตั้งหลายหนหลายครั้งแล้วไม่เห็นจะต้องปิดประตูเลย หรือพระภิกษุเหล่านั้นกลัวจะมีอันตราย จึงช่วยกันกลิ้งก้อนศิลามาปิดปาดถ้ำไว้เองกระมัง ไหนไปดูกันสักหน่อย" กล่าวแล้วท่านเจ้าอาวาสพลันลุกขึ้นครองจีวร แล้วรีบเดินไปยังถ้ำที่พระภิกษุอาคันตุกะพักทันที

   เมื่อไปถึงและได้แลเห็นก้อนศิลาใหญ่ปิดประตูถ้ำอย่างมิดชิดเช่นนั้นก็ให้บังเกิดความอัศจรรย์ใจ จึงตะโกนถามพระภิกษุที่อยู่ข้างในว่า เหตุไรก้อนศิลาใหญ่จึงกลิ้งมาปิดประตูถ้ำได้ ท่านทั้งหลายช่วยกันกลิ้งมาปิดไว้หรือไร เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นบอกว่าไม่ทราบเรื่อง ก็ให้นึกเคืองใจว่าจักมีใครมาแกล้งปิดประตูเพื่อให้พระภิกษุเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแน่ ๆ จึงกลับไปวัดเกณฑ์พระภิกษุสามเณรตลอดจนคนอาศัยทั้งหมดให้มาช่วยกันผลักไสก้อนหินใหญ่นั้น ครั้นคนทั้งหลายมาประชุมกันที่ปากถ้ำแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงตะโกนบอกพระภิกษุอาคันตุกะซึ่งอยู่ภายในถ้ำว่า

   " ข้าแต่ท่านสหธรรมิกทั้งหลาย ! ขอพวกท่านจงอย่าได้น้อยน้ำใจเลยพวกเราจะช่วยท่านทั้งหลายโดยการช่วย กันผลักก้อนหินให้ออกจากถ้ำเดี๋ยวนี้แหละ แต่ขอแรงให้พวกท่านจงช่วยกันหน่อย คือพวกเราจักเอาเชือกผูกก้อนศิลาใหญ่แล้วดึงลากออกมา ท่านทั้งหลายอยู่ภายในก็ร่วมแรงร่วมใจกันผลักจนเต็มกำลังเถิด"

   ท่านเจ้าอาวาสผู้มีใจอารีซึ่งได้ให้พระลูกวัดไปแจ้งความแก่ประชาชนทั้งหลายทั่วทั้ง ๗ หมู่บ้าน ให้พากันมาออกแรงฉุดก้อนหินเพื่อช่วยเหลือพระภิกษุเหล่านั้นและก็เป็นการเอาเอาบุญด้วย แต่แรงอะไรเล่าจะมาเท่าแรงกรรม ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีประชาชนร่วมใจกันออกแรงฉุดกระฉากลากก้อนหินเจ้ากรรมนั้นประมาณมากมายถึง ๗ หมู่บ้านก็ตามที แต่ก็หาให้ก้อนศิลาใหญ่นั้นขยับเขยื่อนได้เลย

   " จะทำอย่างไรกันดี!ละท่านเราก็ได้ช่วยกันออกแรงกันจนสุดแรงเกิดแล้ว จะหาวิธีใดให้ดีกว่านี้ก็ไม่มี บากเราจงช่วยกัน ฉุดลากมันไปจนกว่าจะสำเร็จ หากพวกเราไม่พยายามช่วยเหลือ ก็เท่ากับว่าปล่อยให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายถึงแก่ความตายในถ้ำเป็นแน่" เหล่าประชาชนทั้งหลายต่างก็พากันบ่นและเหนื่อยอ่อนแรงแต่ก็ไม่ยอมท้อถอยกันยังคงมีความหวังว่าจะต้องลากก้อนหินออกจากถ้ำนี้ให้ได้

   " บาปหนักเห็นจะตกอยู่แก่อาตมา! เพราะว่าอาตมาเป็นผู้พาท่านเหล่านั้นเข้าไปพักในถ้ำเอง โธ๋เอ๋ย ไม่น่าเลย" ท่านเจ้าอาวาสเอยรำพึงออกมา

   ท่านเจ้าอาวาสพร้อมทั้งพระภิกษุสามเณร และประชาชนในละเวกใกล้เคียงกันนั้นทั้ง ๗ หมู่บ้าน ได้ร่วมแรงร่วมใจกันมาทำงานเอาก้อนศิลาใหญ่ออกจากประตูถ้ำ เพื่อช่วยชีวิตพระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายทุก ๆ วันเป็นเวลาครบ ๖ วันแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าต่างคนก็อ่อนแรงอ่อนใจไปตามกัน ส่วนพระภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพราะว่าเสียงเงียบหายไปตั้งแต่ ๓-๔ วันก่อนโน้นแล้ว พอตกมาถึงคืนวันที่ ๗ ในขณะที่ทุกคนกำลังหลับสนิทอยู่ด้วยความอ่อนเพลียนั้นก้อนศิลาประหลาดซึ่งสถิตแน่นเหมือนถูกสาปให้ติดอยู่ที่ประตูถ้ำ ก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกแล้วกลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในที่เดิม ซึ่งอยู่ห่างพอสมควร โดยไม่มีใครมาฉุดกระชากลากไปแม้แต่สักคนเดียวเป็นอัศจรรย์

   เมื่อชาวบ้านเห็นเช่นนั้นต่างก็รีบวิ่งเข้าในถ้ำ ก็ได้ประสบกับภาพที่น่าสังเวชสลดใจเพราะพระภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีอากัปกิริยาต่าง ๆ กัน บางรูปนอนหายใจระรวยรอความตายอยู่บนเตียง บางรูปก็มีกิริยาว่าได้กระเสือกกระสนพยายามคลานมาแล้ว ถึงแก่วิสัญญีภาพสลบลง ณ ที่ใกล้ประตูถ้า บางรูปก็มีกิริยาขวนขวายว่าจะขึ้นไปบนเตียง แต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จักขึ้นไปได้ นอนหายใจแขม่วอยู่ใกล้เตียงแห่งตนนันเอง

   รวมความแล้วพระอาคันตุกะเหล่านั้นได้รับความทุกข์ทรมานเหนื่อยอ่อนอิดโรย ด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ทั้งนี้ก็เพราะไม่ได้ขบฉันข้าวปลาอาหารและไมได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานาน ๗ วัน ยังความสงสารให้เกิดขึ้นแก่ชนผู้ได้พบเห็นเป็นอันมาก จึงได้รีบหามมายังกุฏีเจ้าอาวาสแล้วช่วยกันรักษาพยาบาลต่อกาลไม่นานเท่าใด สุขภาพร่างกายของท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็กลับฟื้นคืนเป็นปรกติดังเดิม

   ข้าแแต่พระเดชพระคุณ! ข้าพระเจ้าทั้งปวงนี้ ขอกราบขอบพระคุณท่านที่ได้กรุณาให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดียิ่งในคราวนี้ เหตุที่เกิดขึ้นแก่พวกข้าพเจ้าในครั้งนี้นับว่าแปลกประหลาดอยู่ คนอื่นใครเล่าจักรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลาย

   ฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงมาขอกราบอำลาท่านในวันนี้ เพื่อจักไปถึงที่เฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเร็ววัน" ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้น เข้าไปกลาบลาท่านเจ้าอาวาสหลังจากที่ตนหายไปเป็นปรกติดีแล้ว

   " นิมนต์ท่านตามอัธยาศัยของท่านเถิด ขอท่านทั้งปวงจงเดินทางไปโดยสวัสดีและข้าพเจ้านี้ขอฝากถวายบังคมไปยังแทบเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาค

   พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมครูเจ้าแห่งเราทั้งหลายด้วย" ท่านเจ้าอาวาสกล่าวตอบ พร้อมกับเดินทางส่งพระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย จนถึงหนทางใหญ่พ้นบริเวณวัดป่า

   มุ่งหน้าเดินทางมาจนบรรลุถึงเขตตัวเมืองสาวัตถีแล้ว พระภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย ผู้ได้สบผลวิบากอกุศลอปปริยเวทนีกรรมแห่งตนมาแล้วนั้น ก็พากันไปยังบริเวรวิหารใหญ่ที่มีชื่อว่าพระเชตวันมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่สถิตอยู่แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลครั้งนั้น

   ครั้นได้โอกาสแล้วก็พร้อมกันเข้าไปเฝ้าพระองค์จนถึงที่ประทับ แล้วก็ได้ทูลถามถึงประสบการณ์ที่พวกตนได้รับในระหว่างที่เดินทางมาว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

   สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระญาณวิเศษสามารถทราบชัดสันดานสัตว์ทั้งปวง จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า " เหตุที่เกิดขึ้นแก่เธอทั้งหลายในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมที่พวกเธอได้กระทำไว้ในอดีต" แล้วก็ทรงมีพระมหากรุณาตรัสเล่าประวัติความเป็นมาในชาติหนหลัง ตั้งแต่ครั้งพระภิกษุเหล่านั้นเป็นทารกโคบาลกักขังเหี้ยไวในจอมปลวก ผลกรรมในครั้งนี้ตามมาทัน จึงบันดาลให้ต้องถูกกักขังได้รับความทุกข์ทรมานภายในถ้ำใหญ่ในชาตินี้ แล้วมีพระพุทธฏีกาตรัสอีกสืบไป เป็นใจความว่า

   " บุคคลที่ทำบาปกรรมไว้ การที่ว่าจะพ้นจากบาปกรรมนั้นเป็นอันไม่มี! ถ้าหากจะมีบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่ง ซึ่งได้ทำบาปกรรมไว้แล้วและคิดว่า เราจักพ้นจากบาปกรรมที่เราทำไว้ด้วยอุบายวิธีนี้ แล้วจึงขึ้นไปสถิตอยู่บนอากาศก็ดี หรือจะหนีลงไปหลบซ่อนอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งมีความลึกประมาณ ๘๔. ๐๐๐ โยชน์ก็ดี หรือจะหนีเข้าไปแอบซ่อนอยู่ในซอกเขาอันมิดชิดก็ดี การที่ว่าจักพ้นจากบาปกรรมที่ตนทำไว้นั้น ย่อมจักเป็นไปไม่ได้เลย ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั่วทั้งพื้นปฐพีนี้ จะหาสถานที่สักแห่งหนนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ที่หลบบาปกรรมที่ทำไว้ แม้จะเป็นสถานที่ประมาณเท่าขนทรายเท่านั้น ก็หามิได้เลย"

   เมื่อได้สดับพระพุทธฏีกาจบลงฉะนี้ พระภิกษุผู้มีกรรมทั้งหลายเหล่านั้นก็บังเกิดความสังเวชใจใคร่จะทำลายกรรมตามพุทธธวิธี จึงตั้งใจเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ยังวิปัสสนาญาณให้บังเกิดขึ้นในสันดานโดยลำดับ

   ในที่สุดก็สามารถตัดโคตรปุถุชนและหยั่งลงสู่อริยภูมิ มีโสตาบันโลกถตรภูมิเป็นต้น ซึ่งมีหวังว่าจะพ้นจากกรรมทั้งปวงอย่างเด็ดขาดในอนาคตกาลด้วยประการฉะนี้............

จากหนังสือกรรมทีปนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร)