พระเจ้าทุฐคามณีอภัยราชา
   กาลเมื่อสมเด็จพระเจ้านัมปิยติสะเสด็จเถลิงราชย์ในลังกาทวีปนั้น พระองค์ทรงตั้งมหานาคพระราชอนุชารองให้ดำรงตำแหน่งที่พระมหาอุปราช ต่อมาพระอัครมเหสีของพระองค์ทรงเกิดอกุศลจิตคิดปรารถนาจักให้ราชสมบัติ ในลังกาทวีป ตกอยู่ในเงื้อมหัตถ์แห่งพระราชโอรสของพระนางเธอ จึงคอยหาโอกาสที่จะประทุษร้ายสมเด็จพระมหาอุปราชอยู่เสมอมา วันหนึ่งสมเด็จพระมหาอุปราชมหานาคเจ้าทรงมีกรณียกิจเสด็จไปตรัจฉวาปี พระนางเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสอันดี จึงใส่ยาพิษไว้ในชิ้นมะม่วงชิ้นหนึ่ง วางไว้ข้างบนของชิ้นมะม่วงอื่นๆ ส่งไปถวายพระมหาอุปราช

   บังเอิญวันนั้นพระราชโอรสของพระนางเธอ เสด็จไปกับพระมหาอุปราชด้วย เมื่อทรงหิวขึ้นมาก็ทรงถือวิสาสะเปิดภาชนะหยิบมะม่วงชิ้นนั้นเสวยเข้าไป ในไม่นานนักก็ทรงดับขันธ์ถึงแก่ชีพิตักษัยเพราะยาพิษร้ายแรงนั้น

   สมเด็จพระมหาอุปราช เมื่อทรงได้ประสบการณ์เช่นนั้น ก็ทรงรู้พระองค์ว่ามีผู้ประสงค์ร้าย จึงทรงพาพระชายากับพลพาหนะเสด็จไปสู่โรหนชนบท แล้วทรงตั้งตนเป็นเจ้าประเทศราชครองสมบัติอยู่ ณ มหาคามราชธานี สืบวงค์ตามลำดับกันลงมา ๔ ชั่วกษัตริย์ คือ พระเจ้ายัฏญาลยกติสสะ ๑ พระเจ้าโคญาภัย ๑ พระเจ้ากากวรรณติสสะ ๑ พระเจ้าทุฐคามณีอภัย ๑

   พระเจ้าทุฐคามณีอภัย นี้ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการประกอบด้วยสติปัญญาอุตสาหะ และความรู้ความกล้าหาญเดชานุภาพเกียรติคุณ ในแผ่นดินของพระองค์ตอนต้น

   ต้องทรงรบพุ้งทำศึกสงครามกับพวกทมิฬหลายครั้งหลายคราว ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาแต่ว่า เมื่อพระเจ้าเทวานัมปิยติสสราชาธิบดีเสด็จทิวงคตไปแล้วนั้น

   ปรากฏว่าราชสมบัติในแผ่นดินลังกาถูกพวกทมิฬเข้ายึดครอง พระองค์จึงต้องทรงจับอาวุธเข้าทำสงครามเพื่อปราบปรามขับไล่พวกทมิฬให้สิ้นไปจากลังกา

   ในคราหนึ่งพระเจ้าทุฐครามณีอภัยกษัตริย์หนุ่มทำสงครามกับพวกทมิฬอยู่นั้น พระองค์ทรงได้รับความปราชัย เหล่ารี้พลล้มตายลงเป็นอันมาก พระองค์ทรงเข้าที่คับขันเห็นจวนตัว จึงเสด็จขึ้นบนหลังม้ารีบหนีไปพร้อมกับพระพี่เลี้ยงคนสนิท ซึ่งมีนามว่าติสสอำมาตย์ ทรงหนีข้าศึกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จนบรรลุถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งคาดคะเนว่าพ้นเขตอันตรายแล้ว จึงหยุดพักด้วยความอ่อนเพลียแล้วตรัสแก่ติสสอำมาตย์พระพี่เลี้ยงว่า

   พระราชาทุฐคามภัยณี " เราหนีข้าศึกมาก็นานนับ บัดนี้ข้าให้บังเกิดความหิวโหยเหลือประมาณเราจะทำกันอย่างไรดี"

   อำมาตย์พระพี่เลี้ยงคนสนิท "ไม่เป็นไรดอกพระองค์ก่อนที่จะหนีข้าศึกออกจากค่ายมานี้ ข้าพระองค์ได้นำอาหารใสขันทองคำแล้วห่อผ้ามาขันหนึ่ง ซึ่งพอจะเป็นเครื่องประทังความหิวไปได้สักคราวหนึ่งดอก พระเจ้าข้า" ว่าแล้วอำมาตย์ผู้รอบคอบ ก็แก้ห่อผ้าสาฏกนั้น แล้วนำเอาอาหารเข้าไปถวายพระราชาธิบดีทุฐคามอภัยณีกลับมีพระราชดำรัสให้จัดการแบ่งอาหารออกเป็น ๓ ส่วน

   ซึ่งยังความแปลกใจให้เกิดแก่ติสสอำมาตย์เป็นอย่างมาก ในที่สุด เขาจึงได้ตัดสินใจถามขึ้นว่า

   อำมาตย์พระพี่เลี้ยงคนสนิท " ข้าแต่พระองค์ บัดนี้เราก็มีกันอยู่แค่ ๒ คนในป่านี้ เหตุไฉนพระองค์จึงให้แบ่งอาหารเป็น ๓ ส่วนเล่า แบ่งเป็น ๒ ส่วนถึงจะถูก "

   สมเด็จพระราชาธิบดี ผู้มีอาจิณณกรรมอันพระองค์เคยสั่งสมมานานจึงตรัสว่า

   พระราชาทุฐคามอภัยณี " แบ่งเป็น ๒ ส่วนก็ถูกของท่านแล้ว แต่ว่าอันตัวเรานี้ ท่านก็ย่อมจะรู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า หากไม่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตทานแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลในพระบวรพุทธศาสนาแล้ว ก็ย่อมจะไม่บริโภคอาหารเลยเป็นอันขาด ทุก ๆ วันมาเราเคยถวายอาหารบิณฑบาตเสียก่อน แล้วจึงจะบริโภค"

    "ในป่าดงพงพี จะมีพระสงฆ์ที่ไหนกัน พระเจ้าข้า ? " อำมาตย์พี่เลี้ยงบ่นพึมพำ แล้วเขาก็ได้จัดอาหารออกเป็น ๓ ส่วน แล้วเอาเข้าไปถวาย

   สมเด็จพระราชาทุฐคามอภัยณีจึงตรัสกับอำมาตย์พี่เลี้ยงว่า " แบ่งเสร็จแล้ว ก็จงโฆษณาการนิมนต์ให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมารับบิณฑบาตทานของเรา" เมื่อพระองค์ตรัสแล้วก็ทรงประทับเอนองค์หลับพระเนตรด้วยความอ่อนเพลีย

   ถึงแม้ติสสอำมาตย์จะขัดเคืองใจว่าจะมีพระสงฆ์อยู่ในป่งดงที่ไหนมารับบิณฑบาตแต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดพระทัยได้ จึงได้ตะโกนนิมนต์พระสงฆ์ประชดดัง ๆ ว่า " ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ บัดนี้ถึงกาลเวลาแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงมารับอาหารบิณฑบาตแห่งพระราชาผู้มากไปด้วยศรัทธาของข้าพระเจ้าด้วยเถิด "

   กาลครั้งนั้น ท่านพระโพธิมาลยมาลกติสสสมหาเถระผู้ทรงคุณวิเศษในพระบวรพุทธศาสนา ได้สดับเสียงตะโกนนิมนต์นั้นด้วยทิพโสต พระผู้เป็นเจ้าจึงใคร่ครวญดูว่าเป็นเสียงใคร ในที่สุดก็ทราบด้วยญาณวิเศษว่า

   " พระเจ้าทุฐคามณีอภัยราชา ทรงพลาดท่าเสียทีแก่ข้าศึกเสด็จหนีเข้าไปในป่งดงลึกอันอยู่ไกลแสนไกล บัดนี้ใคร่จะถวายอาหารบิณฑบาตก่อนที่จะเสวยพระกระยาหาร จึงได้ใช้ให้ติสสอำมาตย์ตะโกนนิมนต์พระสงฆ์สมควรที่เราจักไปกระทำการอนุเคราะห์ในครั้งนี้ ให้สมกับที่ทรงมีพระราชศรัทธา" ดำริดังนี้แล้ว สาวกแห่งองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รีบเหาะเร่งรุดมาโดยนภากาศด้วยฤทธิ์ แล้วประดิษฐานยืนอยู่ตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระราชาผู้มากไปด้วยความเลื่อมใส

   " เห็นไหมเล่า" สมเด็จพระราชาผู้ตกยากตรัสพร้อมกับทรงผุดลุกขึ้นทันใด พระผู้เป็นเจ้าท่านกรุณามาโปรดเราแล้ว ใช่ว่าเราจะใช้ให้ท่านไปนิมนต์ส่งไปเมื่อไร นี่แหละศรัทธาของเราละ จงจำไว้ " ตรัสแล้วก็น้อมพระองค์ลงถวายนมัสการ แล้วมีพระราชดำรัสว่า

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ขอพระเป็นเจ้าจงส่งบาตรมาให้โยมนี้เถิด เจ้าข้า "

   เมื่อพระเถระเจ้ายื่นบาตรให้แล้ว ก็ทรงรับเอาบาตรนั้นวางไว้แล้วทรงนำเอาอาหารส่วนที่หนึ่ง ซึ่งมีพระราชประสงค์จะทำเป็นอาหารบิณฑบาตทานตักในบาตร เสร็จแล้วก็ทรงเอาอาหารที่แบ่งไว้เป็นส่วนของพระองค์ตักลงไปอีก ด้วยความที่ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสอย่างเหลือประมาณ แล้วก็น้อมเข้าไปถวายพระมหาเถระเจ้า พร้อมกับตรัสว่า

   " ขอพระผู้เป็นเจ้า จงฉันภัตตาหารที่โยมตั้งใจถวายในยามยากนี้ให้หมดด้วยเถิด อย่าเป็นห่วงใยเลย ด้วยว่า โยมนี้บังเกิดความดีใจที่ได้ถวายอาหารบิณฑบาตในครั้งนี้เหลือที่จักกล่าวแล้ว"

   ฝ่ายนายติสสะผู้ตะโกนนิมนต์ด้วยความขุ่นเคืองใจเมื่อสักครู่นั้นครั้นเห็นปฏิหาริย์ด้วยมีพระสงฆ์มารับบิณฑบาตทานอย่างไม่คาดฝันจริง ๆ ก็ตะลึงพรึงเพริดอยู่ และเมื่อเห็นพระราชาผู้ที่ตนรักอย่างลึกซึ้ง ทรงเสียสละถวายอาหารอันเป็นส่วนของพระองค์แก่พระสงฆ์ไปแล้วเช่นนั้น ก็พลันคิดว่า

   " เมื่อพระลูกเจ้าทรงยอมอด โดยถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้าไปหมดแล้ว ยังเหลือแต่อาหารที่เป็นส่วนของเราเช่นนี้ เราจะบริโภคคนเดียวไปได้อย่างไร ไหน ๆ ถึงคราวจะอดแล้วก็ควรอดเสียด้วยกันเถิด "

   ครั้นคิดดังนี้แล้ว ก็น้อมเอาอาหารอันเป็นส่วนแบ่งแห่งตนนั้นไปตักเกลี่ยลงในบาตรแห่งพระมหาเถระเจ้าแล้วก็กราบลง

   พระโพธิยมาลกมหาเถระแล้วกราบลง

   พระโพธิยมาลกมหาติสสเถรเจ้า กล่าวอนุโมทนาทานพิเศษสมเด็จพระราชา และติสสอำมาตย์นั้นแล้ว ก็เหาะไปสู่วิหารอันเป็นที่อยู่แห่งทานครั้นถึงแล้วจึงจัดแจงแบ่งภัตตาหารในบาตรนั้นถวายแก่พระสงฆ์องค์ละเท่า ๆ กัน เพื่อจักยังทานนั้นให้มีอานิสงส์โดยยิ่ง ฝ่ายสมเด็จพระราชาธิบดีทุฐคามมณีอภัย เมื่อถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้าไปแล้วทรงปลื้มปีติในบิณฑบาตทานนั้นอยุ่พักหนึ่ง ก็ทรงบังเกิดความหิวโหยเป็นยิ่งนักจึงทรงมีพระราชดำริว่า

   " บัดนี้ เราถูกความหิวเข้าครอบงำอย่างเหลือทน หากว่าเราจักได้อาหารแม้แต่ไม่มากเป็นเพียงข้าวสุกเมล็ดหนึ่งหรือสองเมล็ดก็ยังเป็นการดีในยามหิวเช่นนี้"

   พระเถระเจ้าผู้มีญาณวิเศษ ทราบวาระจิตแห่งองค์สมเด็จพระราชาธิบดีในขณะนั้น เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว จึงจัดแจงเอาอาหารที่พระสงฆ์ฉันเหลือใส่ลงไปในบาตรจนเต็ม ปิดให้แน่นสนิทอธิษฐานแล้วโยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ บาตรที่พระผู้เป็นเจ้าอธิษฐานไว้นั้นก็ลอยมาตกลงที่พระหัตถ์แห่งสมเด็จพระราชาพอดี พระองค์ก็ทรงมีพระพระมนัสยินดีปราโมทย์ได้เสวยพระกระยาหารนั้นพร้อมกับติสสอำมาตย์ผู้เป็นพระพี่เลี้ยงจนหมดบาตร ครั้นเสวยเสร็จแล้ว พระองค์จึงทรงพระราชดำริว่า

   " เราได้บริโภคอาหารมื้อนี้ ก็ด้วยความกรุณาแห่งพระมหาเถรเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ควรที่เราจักตอบแทนพระคุณท่านสักอย่างหนึ่งให้จงได้" มีพระราชดำริดังนี้แล้ว ก็ทรงเปลื่องผ้าสาฏกเนื้อดีออกจากพระวรกาย จัดแจงซักด้วยน้ำในลำธารใกล้ ๆ นั้นให้สอาดปราศจากมลททินแล้ว ทรงใส่ผ้าสาฏกนั้นลงในบาตร ปิดให้สนิทดีแล้ว จึงทรงตั้งความปรารถนาว่า " ขอให้บาตรนี้ จงลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วจงไปตกลงที่หัตย์แห่งพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของบาตรดด้วยเถิด " ทรงตั้งความปรารถนาดังนี้แล้ว จึงโยนบาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ บาตรก็ลอยไปตกลงบนหัตถ์แห่งพระโพธิยมากติสสมหาเถระเจ้าเป็นอัศจรรย์ยิ่ง

   กาลต่อมา เมื่อเสด็จออกมาจากป่าและกลับเข้าไปถึงพระนครแล้วพระองค์ก็ทรงตระเตรียมที่กระทำศึกสงความใหม่ ครั้นรวบรวมรี้พลได้มากพอสมควรแล้ว จึงทรงยกพหลโยธามาต่อยุทธ์ด้วยเอฬาทมิฬ และเจ้าทมิฬเหล่าอื่น ให้ถึงซึ่งความปราชัยเสียชนชีพในสนามรบนั้นเป็นอันมาก

   เมื่อพระองค์ทรงได้ชัยชนะในสงคราม ปราบปรามปัจจามิตรให้ราบคาบ ทำราชสมบัติในลังกาให้อยู่ใในอาณาแห่งเศวตฉัตรเดียวกันแล้วก็เสด็จเถลิงไอศวรรยาธิปัตย์ดำรงความเป็นเอกราช สืบสันตติวงศ์แห่งกษัตรย์สิงหลต่อมา ตอนนี้จึงทรงได้โอกาสที่จะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนา ด้วยว่าสมเด็จพระราชาธิบดีทุฐคามอภัยณีนี้ ใช่ว่าท้าวเธอจะทรงมีพระกมลสันดานกล้าหาญแกล้วกล้าในการสงครามสัมประหารแต่เพียงอย่างเดียวก็หามิได้ แม้ในการบำเพ็ญพระราชากุศลก็ทรงมีพระกมลสันดานกล้าหาญ มิได้ทรงย่อท้อ แต่พอปรารถเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นก็ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการมโหฬาร พระสถูปวิหารที่ท้าวเธอทรงสถาปนาที่จัดว่าสำคัญนั้น คือมริจวัฏวิหาร โลหปราสาท สุวรรณมาลีเจดีย์ เป็นต้น แต่พระราชกุศลอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญในภายหลังเหล่านี้ ไม่มีพระราชกุศลชนิดใด ที่จะเป็นภาพประทับในพระราชหฤทัยอย่างลึกซึ้ง เสมือนหนึ่งพระราชกุศลที่ทรงบำเพ็ญในยามยากครั้งเมื่อพระองค์หนีข้าศึกเข้าไปในป่าใหญ่ แล้วได้ถวายอาหารบิณฑบาตรทานแก่ท่านพระโพธิยมาลกมหาติสสเถระเจ้านั้นเลย

   ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงกาลเป็นที่สุดคือในขณะที่พระองค์ประชวนหนักใกล้ที่จักเสด็จเข้าไปสู่ปากพญามฤตยุราชตามธรรมดาแห่งสังขารนั้น อกุศลกรรมที่ทรงทำไว้เมื่อครั้งทรงเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกร ไล่ฆ่าศรัตรูหมู่ปัจจามิตรให้ถึงแก่ความตายลงไปเป็นอันมากนั้นก็พลันจะเข้ามาให้ผล ทำทีว่าจะฉุดกระชากจอมคนทุฐคามมณีอภัยไปสู่อบายภูมิ โดยบันดาลให้พระองค์ท่านทรงเห็นอกุศลนิมิตมีนายนิรยบาลร่างกายกำยำสูงใหญ่ และไฟนรกร้อนรนเป็นต้น

   ซึ่งเป็นอกุศลนิมิตชั่งร้าย ฉับพลันทันใดนั้น อาจิณณกรรมฝ่ายกุศลซึ่งเป็นฝ่ายตรงกับข้าม ก็ตรงเข้าปล้ำอกุศลกรรมนั้นเป็นพัลวัน เพื่อป้องกันรักษาองค์พระราชาผู้มีความดี แต่ก็หามีฝ่ายใดที่จักได้ชัยชนะไม่ ในที่สุด อาจิณณกรรมฝ่ายกุศล จึงบันดาลพระราชาผู้มีอาจิณณกรรมให้มีพระราชดำรัสสั่งราชบริพารพากันนำพระองค์ไปสู่พระมหาเจดีย์ ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ยังไม่ทันสำเร็จเรียบร้อยดี เพื่อที่จักถวายนมัสการเป็นครั้งสุดท้าย อำมาตย์ราชบริพารทั้งหลาย ก็เชิญเสด็จออกไปสู่พระลานมหาเจดีย์ตามพระราชดำรัสสั่ง แล้วให้บรรทมอยู่บนพระที่ด้านทิศทักษิณ และนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมาสวดสังวัธยายให้ได้ทรงสดับ

   ในขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ ใกล้จะถึงกาลทิวงคตบรรทมเหนือพระเเท่นอันวามวิจิตรสดับพระสงฆ์สังวัธยายธรรมอยู่นั้น พลันคตินิมิตอันบ่งบอกถึงคติว่าพระองค์จักได้เสด็จไปอุบัติเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นฟ้า ก็มาปรากฏให้พระองค์เห็นมโนทวาร นั้นคือ พระองค์ได้ทรงเห็นรถทิพย์อันงามวิจิตร ๖ คัน มีหมู่เทวดาเป็นสารถี เหาะลอยละลิ่วลงมาจากเทวโลก

   เมื่อมาถึงแล้วก็หยุดลงตรงเบื้องพระบาตร แล้วเทวดาชาวฟ้าผู้เป็นสารถีเหล่านั้น ต่างก็พากันร้องเชิญพระองค์ขึ้นอย่างอื้ออึงว่า

   ชาวฟ้าสารถีรถทิพย์คันที่ ๑ กล่าวขึ้นว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณความดี ขอพระองค์จงเสด็จไปกับข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้านี้จักพาพระองค์ไปอยู่สรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราธิกาแดนสขาวดี "

   ชาวฟ้าสารถีรถทิพย์คันที่ ๒ กล่าวขึ้นว่า " ข อพระองค์จงเสด็จไปกับข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้านี้จักพาพระองค์ไปอยู่สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แดนสุขาวดี "

   ชาวฟ้าสารถีรถทิพย์คันที่ ๓ กล่าวขึ้นว่า " ขอพระองค์จงเสด็จไปกับข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้านี้จักพาพระองค์ไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นมายาแดนสุขาวดี"

   ชาวฟ้าสารถีรถทิพย์คันที่ ๔ กล่าวขึ้นว่า " ขอพระองค์จงเสด็จไปกับข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้านี้จักพาพระองค์ไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นดุสิตแดนสุขาวดี"

   ชาวฟ้าสารถีรถทิพย์คันที่ ๕ กล่าวขึ้นว่า " ขอพระองค์จงเสด็จไปกับข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้านี้จักพาพระองค์ไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรดีแดนสุขาวดี"

   ชาวฟ้าสารถีรถทิพย์คันที่ ๖ กล่าวขึ้นว่า " ขอพระองค์จงเสด็จไปกับข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้านี้จักพาพระองค์ไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นปรินิมมิตวสวัตตีแดนสุขาวดี"

   พระเจ้าทุฐคามณีอภัยทรงนึกขึ้นในพระทัยว่า " เดี๋ยวก่อน เทวดา ท่านอย่าเพิ่งว่าอะไรไปให้อึงคะนึงนัก เราใคร่จักขอถามเสียก่อนว่า การที่ท่านมีกรุณามารับเราไปสู่สรวงสวรรค์นั้นท่านเห็นเรามีความดีเป็นดังฤๅ"

   เทวดาสารถีจากเทวโลกเหล่านั้น ต่างก็พรรณนาบุญกุศลที่สมเด็จพระราชาทรงเคยกระทำไว้มีประการต่าง ๆ แต่เทวดาสารถีที่มาจากเทวโลกชั้นดุสิตกล่าวว่า

   " ข้าแต่พระองค์ พระองค์จำไม่ได้ฤๅ เมื่อครั้งพระองค์หนีข้าศึกเข้าไปในป่าลึก พระองค์ได้มีจิตศรัทธาถวายอาหารบิณฑบาตทานแก่ท่านพระโพธิยมาลมหาติสสเถระเจ้า บุญกุศลที่พระองค์กระทำไว้ในคราวนั้นมีผลสมควรที่พระองค์จักเสด็จไปเสวยทิพย์สมบัติเป็นสุขอยู่ ณ ดุสิตสวรรค์แดนสุขาวดี"

   " อย่าเพิ่งพาชักชวนให้มากนักเลย เทวดา ประเดี๋ยวก่อน ข้าพเจ้าจักลองปรึกษาพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายดูก่อน แล้วจึงจะตัดสินใจว่าควรจะไปกับใคร" สมเด็จพระราชาธิบดีผู้มีกุศลอาจิณณกรรมทรงนึกตอบเทวดาเหล่านั้นดังนี้แล้ว ก็ทรงมีอาการเคลื่อนไหวพระวรกายเล็กน้อย แล้วค่อยเอื้อนโอษฐ์ไต่ถามพระภิกษุสงฆ์ซึ่งกำลังประชุมสวดสังวัธยายพระพุทธวจนะอยู่ด้วยพระสุรเสียงอันแผ่วเบาว่า

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญทั้งหลาย โยมนี้ใคร่อยากจะรู้นักว่า ในบรรดาเทวโลกสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นนั้น สวรรค์ชั้นไหนน่าพอใจ น่าอภิรมย์ยินดีเจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงได้เมตตากรุณาบอกให้โยมผู้ใกล้จะตายนี้ได้ทราบเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด"

   พระมหาเถระเจ้าผู้มีญาณวิเศษ ซึ่งเป็นประธานในการสวดสังวัธยายอยู่ในที่นั้น จึงถวายพระพรว่า

   " ขอถวายพระบรมพิตรพระราชสมภารเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ อาตมาภาพว่าสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๔ นั้นแล ประเสริฐกว่าสวรรค์ทุกชั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าสวรรค์นั้นเป็นที่สถิตอยู่แห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ แลบัดนี้สมเด็จพระศรีอาริยเมตตไตรบรมโพธิสัตว์เจ้าซึ่งจักมาตรัสในโลกต่อจากศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระบรมครูเจ้าก็กำลังสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตนั้น ขอถวายพระพร"

   เมื่อได้สดับพระมหาเถระเจ้าถวายวิสัชนาดังนี้แล้ว สมเด็จพระราชาธิบดีทุฐคามณีอภัย ก็ทรงมีพระทัยยินดีในสวรรค์ชั้นดุสิต มีพระทัยน้อมไปในสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นอย่างมาก และแล้วในบัดดลพระองค์ก็ดับขันธ์ถึงแก่ชีพิตักษัย อาจิณณกรรมฝ่ายกุศลของพระองค์ซึ่งทำการปราบปรามอกุศลกรรมให้ราบคาบแล้ว ได้ส่งผลให้พระองค์ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตร ณ ดุสิตสวรรค์ แต่เพลานั้น ด้วยประการฉะนี้

จากหนังสือกรรมทีปนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร)