กรรมคืนสนอง


  การที่คนกินปลานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก แต่โอกาสที่ปลาจะกินคนบ้าง เท่ากันคนๆนั้นต้องเลวอย่างที่นรกก็ไม่ต้อนรับ ลองเข้ามาฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าดังต่อไปนี้

   แม่น้ำแม่กลองสมัยก่อนนั้นน้ำใสสอาดยิ่ง สายน้ำอันยาวเหยียดมีต้นน้ำมาจากลำแควน้อยใหญ่เป็นเหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนมานานนับไม่ได้ มีลำคลองที่แยกแตกสาขาออกไปอย่างมากมายหลายร้อยคลอง

   คลองต้นสนในเขตอัมพวาเป็นอีกคลองหนึ่งซึ่งแยกออกมาเช่นเดียวกัน และคลองนี้แหละที่มีฝูงปลานานาชนิด มาชุมนุมกันอย่างมากมาย โดยเฉพาะหน้าวัดที่ป้ายเขียนตัวใหญ่ไว้ว่า “วังมัจฉา” “แขตอภัยทาน”จะมีปลาที่เข้ามาหลบภัยมาอาศัยและอาหารการกินก็สมบูรณ์มากกว่าที่อื่น ๆ เพราะจะมีคนใจบุญเอาอาหารมาโปรยให้เสมอ ๆ เป็นสถานที่ผักผ่อนหย่อนให้ดูเหล่าฝูงปลามารุมกินอาหารที่โปรยให้ เหล่าเด็ก ๆ จะชอบกันมาก

  เมื่อมีคนใจบุญ ย่อมมีคนใจบาบปะปนอยู่ด้วยเป็นธรรมดา คนประเภทนี้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษขอให้มีกินมีเที่ยวเป็นพอใจ ไม่เห็นโลงศพแล้วไม่หลั่งน้ำตาประเภทนี้

   พี่สิน ที่ทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องไร่นามารับจ้างหากินกับเรือตังเกมานานหลายปี ไม่มีทีท่าว่าจะร่ำจะรวยขึ้นมาสักที เนื่องจากเป็นคนชอบเที่ยวเตร่กินเหล่าเมายา เคล้านารี เมื่อมีโอกาสขึ้นฝั่ง พี่สินมาเห็นปลาที่หน้าวัด ความโลภจึงเกิดขึ้นในใจ สมองที่คิดแต่ความชั่วก็เริ่มวางแผนที่จะได้เงินง่ายๆขึ้นมา

   “ ข้าจับปลาให้เถ่าแก่ร่ำรวยมามากแล้ว คราวนี้ข้าจะเป็นเถ่าแก่กับเขาบ้างละ ”

   เรือตังเกธรรมดาจะออกหาปลาในคืนเดือนมืดข้างแรม ข้างขึ้นจะจอดเทียบเข้าฝั่งซ่อมเรือซ่อมอวนไปตามเรื่อง ปล่อยให่ลูกเรือเที่ยวแตร่หาความสำราญเฮฮากันตามประสาคนหนุ่ม ตังเกที่แม่กลองก็เช่นเดียวกัน พี่สินเมื่อกลับมาจากวัด ก็มาชวนข้าพเจ้าไปกินเหล่าที่ตลาดเพื่อกล่อมให้ไปเป็นลูกเมือในการจับปลา

   “ มันจะดีเหรอ พี่สิน ตรงนั้นมันติดป่าช้า ดีไม่ดีผีจะได้หลอกพาวิ่งกันป่าราบและจับใข้กันหัวโกร๋นนะสิ ” ข้าพเจ้าทักท้วงพี่สินเมื่อเอ่ยปากชวนข้าพเจ้า และอีกอย่างข้าพเจ้าก็กลัวบาปเหมือนกัน แต่เพราะนิสัยรักเพื่อนนี่แหละที่ใจอ่อนอยู่เรื่อย

   “ เองไม่ต้องกลัว ข้ามีปลัดขิกหลวงพ่อนี่ไง ผีมันไม่กล้าเข้าใกล้ เอ็งก็รู้นี่หว่า เอ็งพายเรือ ข้าทอดแหเอง ถ้าได้สักครึ่งลำเรือเอ็งกับข้าก็สบายไปเป็นเดือน ”

    พี่สินพูดจนข้าพเจ้าลังเล อีกใจก็กลัวบาปกลัวกรรม ใจหนึ่งก็รักเพื่อน ใจมันโต้แย้งกันอยู่ “พี่สิน ที่ตรงนั้นมันหน้าวัดไม่มีใครกล้าเข้าไปจับปลากันนะพี่สิน”

   “ ข้ารู้ ไม่มีใครกล้าจับน่ะแหละดีแล้ว ทอดแหสักสองทีสามทีก็ได้ปลาเต็มเรือ ทำงานไม่ถึง ๑๐ นาที ก็รวย ”

   “ แต่....พระท่านเขียนไว้ว่าห้ามจับปลานาพี่สิน แล้วถ้าท่านเกิดมาเห็นเข้าจะว่ายังไง ”

    ข้าพเจ้ายังไม่วายหาเรื่องมาคัดค้าน แต่จะพูดอย่างไร พี่สินก็หาทางออกได้ดีกว่าข้าพเจ้าเสมอ “เห็นก็เห็นสิวะ ปลามันอยู่ในคลอง ไม่ได้อยู่ในบ่อของวัด....เห็นแล้วจะทำไม กว่าจะเห็นปลาก็เต็มลำเรือแล้ว เองเชื่อข้าเถอะน่า”

   “ เอาก็เอา ”

   ข้าพเจ้าตกปากรับคำ ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเกรงใจเหล้าที่พี่สินเอามาเลี้ยงหรือเกิดความโลภที่พี่สินเอามาหลอกล่อกันแน่

   “ งั้นเองไปเอาเรือเอาแหมา ข้าจะซื้อเหล้าไปกินในเรือต่อ เดี๋ยวมันจะดึกมากเกินไป ”

   พี่สินออกคำสั่ง ข้าพเจ้าลุกออกจากร้านไปจัดการจนครบ ประมาณชั่วโมงเศษกลับมาบอกพี่สินว่าเรียบร้อยทุกอย่าง แล้วเราก็ชวนกันหิ้วเหล้า กับแกล้มไปยังท่าน้ำที่จอดเรือ

   เรือกำปั่นติดเครื่องท้ายหางยาวพาข้าพเจ้ากันพี่สินพุ้งทวนกระแสน้ำจากฝั่งตรงข้ามเลียบเลาะตลิ่งไปไม่นานจึงเลี้ยวเข้าคลองซอยวัด เพียงครู่เดียวข้าพเจ้าก็ดับเครื่องหมุ่นหางยาวขึ้นบนเรือหยิบพายพายฝ่าความมืดไปอย่างเงียบกริบ จุดหมายอยู่ที่หน้าวังมัจฉาหน้าวัด

   เสียงปลาฝูงใหญ่โดดเล่นเหนือน้ำดังตูมตาม เมื่อเรือมนุษย์ใจบาปอย่างข้าพเจ้ากับพี่สินเข้าไปใกล้ พี่สินคงยิ้มย่องอยู่ในอก เตรียมแหอันเป็นมัจจุราชของฝูงปลาเอาไว้ในมือ พร้อมที่จะเหวี่ยงได้ทุกเวลา

   “ ใกล้รวยแล้วโวัย ไอ้น้อง เอ็งเลี่ยบเข้าท้ายซ้ายหน่อยซิ ”

   เมื่อพี่สินออกคำสั่ง ข้าพเจ้าวาดหัวเรือทันที และเมื่อได้จังหวะ พี่สินเหวี่ยงแหในมือออกไป เสียงดังซ่า เพียงเบา ๆ เมื่อแหกระทบน้ำ พี่สินรอเพียงชั่วครู่จึงดึงแหกลับช้า ๆ เสียงดิ้นตูมตามของปลาที่ติดแหมา ปลาขนาดใหญ่ดินรนเพื่อหาอิสระภาพ แต่มันก็หมดโอกาสซะแล้ว เมื่อแหถูกดึงขึ้นสู่เรือ พี่สินลอบยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นปลาขนาดใหญ่หลายสิบตัวอยู่ในร่างแแห ท่ามกลางแสงจันทร์ข้างแรม พี่สินรีบปลดปลาเหล่านั้นลงสู่ท้องเรือแล้วออกคำสั่งเบา ๆ พร้อมกับชี้มือ

   “พายไปที่ท่าน้ำหน้าวัด” ข้าพเจ้ารีบทำตาม ค่อย ๆ พายเรือไปอย่างเงียบที่สุด เมื่อถึงศาลาพี่สินโดดขึ้นไปพร้อมแหในมือ

   “ เหมอะละวะตรงนี้ แหบานได้อีกสองสามทีก็กลับกันได้ ” พูดจบพี่สินก็เอี้ยวตัวเหวี่ยงแหแต่ต้องขงักเมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากในศาลาท่าน้ำ

   “ทำอะไรกันพ่อหนุ่ม”

   เราสองคนสดุ้ง โดยเฉพาะข้าพเจ้าที่ขี้ขลาดอยู่แล้ว พาลจะฉี่ราดเสียให้ได้ เมื่อเห็นเจ้าของเสียงที่นั่งซุ่มอยู่บนศาลา พี่สินได้สติก่อน จึงย้อนไปแบบกวน ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอส์

   “ จับปลาไง ไม่เห็นเหรือลุง ”

   “ ที่นี้มันเขตอภัยทาน มาทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เกลงกลัวบ้างหรือไง ”

   “ บาปไม่กลัว กลัวจนมากกว่า ”

   พี่สินยังคงต่อปากต่อคำไม่ยอมลดละ เสียงหัวเราะลั้น สะท้านเข้าไปในหัวใจข้าพเจ้า แต่พี่สินกลับไม่รู้สึก ยังคงเหวี่ยงแหลงไปเพื่อไม่ให้เสียเวลา

   “ ฮา ๆ เองมันปากดีนัก รู้ใหมว่าปลาที่นี่มีเจ้าของ ”

   เสียงชายในเงามืดของศาลายังถามต่อ พี่สินหันไปมองแสดงม่าไม่พอใจ และพูดใส่หน้าไปว่า

   “ ไหนล่ะ เจ้าของ มีหลักฐานเรือเปล่า ”

   ขาดคำพี่สินข้าพเจ้าแทบช๊อคเมื่อมองเห็นภาพนั้น พี่สินตะลึงตาค้างเมื่อชายผู้นั้นถอดหัวมาถือยื่นยาวมาพูดใกล้ ๆ พี่สิน

   “ นี่ละเจ้าของ ดูซะให้เต็มตา ”

   พีสินแทบเสียสติ จะอยู่ให้โง้ กระโจรพรวดลงเรือร้องลั่น

   “ ผีหลอก ๆๆ ช่วยด้วย ”

   เท่านั้นเองเรือก็ล่มพาร่างที่คุมสติไม่อยู่ของพี่สินจมลงไปในสายน้ำ ข้าพเจ้ารีบโผเข้าหาฝั่งมองเห็นภาพพี่สินที่ตะเกียกตะกายคล้ายโดนเขี่ยให้ไกลออกไปผลุบ ๆ โผล่ ๆ แล้วจมหายไป

   และข้าพเจ้าก็ต้องออกวิ่ง ๆ จนหมดสติ มารู้สึกตัวครั้งถึง ๓ ปีเต็ม ใคร ๆ กล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นบ้าพูดเพ้อเจ้อเล่าแต่เรื่องผีกับพี่สินที่จมน้ำตาย

   เวรกรรมที่ทำโดยไม่ได้ตั้งใจที่วัด ยังเป็นตราบาปฝังใจข้าพเจ้าอยู่คนทุกวันนี้

   พี่สินเป็นเหยื่อของปลากว่าจะลอยอืดติดอยู่ท่าน้ำแห่งนั้น ข้าพเจ้เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่ต้องเป็นศพเป็นเหยื่อให้ปลากิน ในการจับปลา โดยเฉพาะพุง เคยเจอเล็บใครไม่รู้อยู่ข้างใน คิดแล้วคลื่นไส้

    ทุกวันนี้อยากปลาก็ต้องเป็นปลาตาย ถ้าเอามาทุบหัวหรือให้แม่ค้าทุบให้ไม่ได้เด็ดขาด เสียสติไปตั้ง ๓ ปี กลับมาเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ก้นับว่าบุญแล้ว