สามเณรเลี่ยมระลึกชาติก่อนได้ พระบัว ลูกศิษย์พระอาจารย์ทอง ผู้ระลึกชาติได้แม้กำลังตกคลอด

   สามเณรเลี่ยม เกิดที่บ้านน้ำก่ำ อำเภอพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เธอเล่าว่า ชาติก่อนเธอเกิดที่บ้านโคกเลาะ จังหวัดอุบลราชธานี

   “ บัว ” เมื่อเป็นหนุ่ม มีพระธุดงค์คณะหนึ่งจาริกสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน ไปถึงบ้านโคกเลาะ หัวหน้าคณะชื่อพระอาจารย์ทอง เวลาเย็นพากันไปรับอบรมฟังธรรม หนุ่มบัว ( คือสามเณรเลี่ยมในชาตินี้ ) ก็ไปฟังธรรมด้วยมีความเลื่อมใสพระธุดงค์ และพระธรรมที่ท่านสั่งสอนจึงถวายตัวเป็นศิษย์ และติดตามไป จนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุบัว บำเพ็ญสมณธรรม จาริกไปหาความสงบ ปฏิบัติธรรมในที่ต่าง ๆ กับท่านพระอาจารย์ทอง

   วาระสุดท้ายของชีวิต ได้จาริกไปกับอาจารย์ทองไปจำพรรษาที่บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนมที่นั้นเป็นป่าทึบ มีไข้ป่า ( มาลาเรีย ) ชุกชุม ในพรรษามีพระเป็นไข้ป่ามรณภาพไปก่อน ๒ องค์ พระภิกษุบัว เริ่มเป็นไข้มีอาการหนักขึ้น ๆ จนรู้สึกตัวว่าจะไปไม่รอด วันสุดท้ายรู้ว่ากำลังจะตายแน่ พระภิกษุบัวซึ่งเป็นพระปฏิบัติทางจิตเป็นประจำอยู่แล้วก็ตั้งใจให้ดี มีสติประคองจิตมิให้เผลอตัวขณะดับจิต ( ตาย ) ถึงเวลาตายจริง ๆ จิตกลับไม่ดับไปจิตประจำร่างกาย พระบัวที่ตายแล้ว พระบัว ( ในร่างทิพย์ไม่มีคนเห็น ) ยืนดูพระเณรประชาชนที่มาเยี่ยมอาการป่วยและอาการตายของพระบัว

   พระบัว ( ในร่างทิพย์ ) รู้สึกตัวว่ามีสงบจีวรนุ่ง - ห่มคลุมอยู่เรียบร้อย บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตร อีกข้างหนึ่งแบกกลดคล้ายจะเดินทางเพื่อธุดงค์ ขณะนั้นยังไม่คิดมุ่งไปทางไหนยังยืนดูพระเณร ชาวบ้านจัดการศพ - เผาศพพระบัวอยู่ไม่มีใครเห็นพระบัว ( ร่างทิพย์ ) ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกยังคงสะพายบาตร แบกกลดไปยังอย่างนั้น เดินเรื่อยไปไม่มีจุดหมาย กระทั่งถึงศาลาใหญ่หลังหนึ่งไม่เคยเห็นในเมืองมนุษย์

   ในศาลามีชายหญิงอมทุกข์ หงอยเหงาจำนวนมากกลางศาลาีโต๊ะใหญ่ มีเก้าอี๊นั่ง บนโต๊ะมีหนังสือ ( บัญชี ) สองกอง ใหญ่กอง เล็กกอง มีเจ้าหน้าที่ประมาณ ๓ คน ทุกคนประกายตาดูน่ากลัว คอยดูแลจัดการกับคนที่อยูบนศาลาเขาเรียกชื่อคนบนศาลาจัดเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มหนึ่งประมาณ ๑๐๐ คน น้อยกว่าร้อยก็มีบ้าง จัดส่งไปในที่ต่าง ๆ ตามแต่กรรมที่ทำไว้ มีเจ้าหน้าที่ ๒ -๓ คน และหญิงอายุราว ๖๐ คน อีก ๑ คน ( เป็นหญิงมีบุญ ) หญิงคนนี้เขาจัดให้ลงสระน้ำ ( ทิพย์ ) ไปนั่งอีกฝั่ง มีรถทิพย์มาคอยรับพอดี หญิงนั้นได้รับสวมเครื่องนุ่งห่มใหม่ แทนชุดเดิมที่เขาให้เปลี้องทิ้งไปเครื่องประดับใหม่ตกแต่งสวยงามมากราวกับนางฟ้า ฝั่งสระทิพย์มีน้ำทิพย์มีน้ำทิพย์ ดอกไม้ทิพย์ กลิ่นหอม สีต่าง ๆ ชวนชมไม่จืดจางแต่งกายเสร็จ คนขับรถมาเชิญขึ้นรถทิพย์พาเหาะขึ้นอากาศ รถทิพย์ไม่ปรากฏว่ามีเครื่องยนต์ แต่เหาะไปได้ด้วยแรงบุญสู่สวรรค์

   เมื่อเขาเรียกคนและจัดส่งไปหมดแล้ว พระบัว ( ร่างทิพย์ ) จึงถามว่า ส่วนอาตมาเล่าไม่เห็นเรียกชื่อเลยว่าจะให้ไปทางไหน เขาบอกว่ายังไม่มีชื่อในบัญชี ยังไม่สั่งมา ถ้าต้องการไปสวรรค์ให้ท่านลงสระน้ำทิพย์ รถทิพย์จะมารับ ถ้าท่านต้องการเกิดในโลกมนุษย์ นิมนต์กลับไปทางเดิมที่มา พระบัว ( ร่างทิพย์ ) ตอบเขาว่า สวรรค์ก็ยังไม่อยากไป มนุษย์ก็ยังไม่ไป กระหายน้ำมาก ขอไปหาน้ำฉันก่อนจึงจะไปทีหลัง

   แล้วเขาลงจากศาาลา ไปตามทางเดิม เดินมุ่งหาน้ำ พบหญิงคนหนึ่งกำลังเดินไปตักน้ำที่ทุ่งนา พระบัว ( ร่างทิพย์ ) จึงขอบิณฑบาตน้ำฉัน หญิงนั้นบอกว่าให้ท่านไปรอที่บ้านหลังนั้น จะตักน้ำไปถวายที่บ้าน พระบัว ( ร่างทิพย์ ) เดินไปขึ้นบนบ้านหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำ พอนั่งลงพักบนบ้าน ก็รู้สึกง่วงมาก นึกจะเอนหลังพักสักนิดก่อนน้ำมา

   พอล้มตัวนอน ก็หลับไปงีบหนึ่งเท่านั้น พอตืนก็กลายเป็นเกิดใหม่เสียแล้ว ขณะที่ตกคลอดรู้สึกตัวทันทีว่าเกิดใหม่ เมื่อเป็นทารกตกคลอดออกมา ยังมีสัญญาว่าเป็นพระติดตัวมาไม่เลือนลาง รู้สึกตัวเหมือนยังครองจีวร แบกกลดสะพายบาตรอยู่ และยังสามารถระลึกย้อนหลังได้โดยลำดับบ้านเกิดภพก่อน ที่อยู่ภพก่อน พ่อแม่วงศ์ญาติจำได้หมด แต่พูดไม่ออกเพราะยังเป็นทารกแดง ๆ อยู่

   ต่อมาพอพูดได้บ้าง ก็พูดแบบพระว่า “ อาตมา ๆ ” เพราะรู้สึกเหมือนตนเองเป็นพระตลอดเวลา พ่อแม่ ญาติวงศาพากันห้ามพูดคำว่า “ อาตมา ”

   เด็กพูดชัดขึ้นทุกวัน ยังพูดคำว่า “ อาตมา ” ไม่ยอมละโดยยังมีความรู้สึกตัวเองเหมือกำลังเป็นพระอยู่ กระทั่งถูกดุ ถูกตวาดเอาว่า เป็นเด็กไม่ใช่พระ พูดว่า “ อาตมา ” เดี๋ยวบาปตายจริง ๆ นะ เด็กซึ่งได้ชื่อในภพใหม่ว่า “ เลี่ยม ” ก็ตกใจเสียใจความรู้สึกเป็นพระที่ติดตัวอยู่ก็ค่อย ๆ หายไปหมด พยายามละคำที่ติดปาก ไม่พูด “ อาตมา ” อีกเลย

   เด็กชายเลี่ยม พอโตขึ้นมาบ้างก็คิดถึงพ่อ แม่ ญาติพี่น้องชาติก่อน บ่นกับพ่อแม่่ชาติใหม่ว่า อยากไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง พ่อแม่ก็ดุเอาอีกว่าพูดเรื่องร้ายแก่ตัว

   “ ต่อมาเด็กชายเลี่ยมตัดสินใจเล่าความจริงในชาติเก่าให้พ่อแม่ใหม่ทราบโดยละเอียด ตลอดถึงการสิ้นชีวิตเมื่อตอนเป็นพระภิกษุบัว แล้วมาเกิดชาตินี้กับพ่อแม่ใหม่นี้ ”

   พ่อแม่ได้ยินเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ ดังนั้นก็เกิดความสลดสังเวชและร้องไห้ เห็นโทษในการดุด่าเด็ก กล่าวคำขออภัยลูก อย่าให้มีบาปกรรมต่อพ่อแม่ใหม่เลย กับพูดจาแสดงความรักความห่วงใยลูกมากมาย กระทั่งเด็กชายเลี่ยมงดเว้นยังไม่กลับไปหาพ่อแม่เก่า เพราะสงสารแม่ใหม่

   เมื่อเด็กชายเลี่ยม เติบโตขึ้นพอบวชได้ก็ได้บวชเป็นสามเณรด้วยความศรัทธา สืบต่อมาจากชาติเป็นพระภิกษุบัว ดังที่ดำรงเพศอยู่ ขณะสัมภาษณ์นี้ เมื่อถูกถามถึงอาจารย์ทองซึ่งเป็นอาจารย์ชาติก่อน สามเณรเลี่ยมเรียนตอบว่า ยังไม่เคยพบท่านเลย หากได้พบต้องจำท่านได้แน่ ยุติสัมภาษณ์ไว้ให้สามเณรกลับที่พักก่อน

   พระคุณเจ้า ญ.บ. จะทดสอบสามเณรเลี่ยมถึงความจำอาจารย์เก่าต่อไป พระคุณท่าน จึงพาตระเวนหาพระอาจารย์ทองในบริเวนวัด เมื่อพบท่านแล้วจึงพาสามเณรเลี่ยมมาทดสอบโดยชี้ไปที่พระอาจารย์องค์อื่น ๆ ที่มาพักอยู่บริเวนจะมีงานปีหลายครั้งหลายองค์ ถามว่าองค์นี้ใช่ไหม สามเณรเลี่ยมก็ตอบทันทีว่าไม่ใช่ ๆ กระทั้งไปชี้อาจารย์ทององค์จริง สามเณรตอบทันทีว่าใช่แล้ว องค์นี้และอาจารย์ทองที่เป็นอาจารย์ของสามเณรในภพก่อนที่เป็นพระภิกษุบัวแน่นอน เธอตอบด้วยความมั่นใจ พระคุณท่าน ญ. บ. พอใจในการทดสอบ บังเอิญขณะนั้นอาจารย์ทองมีแขกมาก กำลังสนทนาธรรมกับแขก จึงมิได้พาสามเณรเข้าไปกราบท่าน พาสามเณรกลับที่พักก่อ่น โดยหวังว่ามีโอกาสจะพาสามเณรไปกราบนมัสการ และเล่าเรื่องการระลึกชาติได้ของสามเณรถวายพระอาจารย์ทอง ต่อมางานเริ่มต่างคนต่างยุ่งในการช่วยงานจึงพลาดโอกาสที่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ

   อย่างไรก็ดีในปีเดียวกันกับงานนั้น ( พ.ศ. ๒๔๙๓ ) พระคุณเจ้า ญ.บ. ได้มีโอกาสพระพระอาจารย์ทอง และเรียน ถามเรื่องราวของพระบัว ได้ความว่า :-

   ๑. ท่านอาจารย์ทองเคยไปจำพรรษาที่วัดบ้านสามผง จังหวัดนครพนม ตรงกับปีที่พระภิกษุบัวเป็นองค์สุดท้าย ( ตรงกับคำบอกเล่าของสามเณร)

   ๒. ในพรรษา มีพระเป็นไข้มาลาเรีย มรณภาพ ๓ องค์ รวมทั้งพระภิกษุบััวเป็นองค์สุดท้าย ( ตรงกับคำบอกเล่าของสามเณร )

   ๓. พระบัว คือ ผู้ที่อาจารย์ทองรับตัวมาบวชเป็นพระแล้วพาเธอจาริกบำเพ็ญสมณธรรม จำพรรษาสุดท้ายที่วัดสามผง ปีที่พระบัวมรณภาพ เธอบวชได้ ๓ พรรษา ( ตรงกับบอกเล่าของสามเณร)

   ๔. เมื่อพระภิกษุบัวยังมีชีวิตอยู่ เธอมีความขยันหมั่นเพียรมากในการปฏิบัติธรรมทางจิต

   ๕. พระอาจารย์ทองยืนยันว่า พระบัวศิษย์ของท่านมรณภาพมาได้ ๑๖ ปีแล้ว ( นับถึง พ.ศ. ๒๔๙๓ ) และในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ นั้น สามเณรเลี่ยมอายุได้ ๑๕ ปี ( รวมที่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ ๙ – ๑๐ เดือนด้วยประมาณ ๑๖ ปี เท่าจำนวน ๑๖ ปี ที่พระบัวมรณภาพ นับว่าเธอมรณภาพแล้วไม่นานก็เกิดใหม่เป็นมนุษย์ มิได้ไปเกิดในภพภูมิอื่นเลย

   เรื่องการระลึกชาติของสามเณรเลี่ยมนี้ น่าสนใจเป็นพิเศษ

   ๑. ชาติเป็นพระภิกภิกษุบัว เธอเพียรปฏิบัติธรรมทางจิตไว้มาก ( ตามคำพระอาจารย์ทอง ) คงจะได้สมาธิสูงพอสมควรส่งผลดีให้เธอมีสัญญาความจำ มีจิตอยู่เสมอ

   ๒. เมื่อเจ็บไข้จะตาย ก็รู้สึกตัวว่าจะตาย และมีสติอยู่ดี ขณะแม้กำลังจะตายหรือดับจิตอยู่แท้ ๆ เธอยังตั้งสติมั่น “ ตั้งใจให้ดี มีสติประคองจิต มิให้เผลอตัวขณะดับจิต ”

   ๓. กระทั่งร่างกายตาย ความรู้สึกหรือจิตก็มิได้ดับวูบกลับเกิดมีร่างพระภิกษุบัวอีกร่างหนึ่ง จิตในร่างเดิมที่ตายมาอยู่ในร่างใหม่ ( ร่างทิพย์เฉพาะตัว ) นี้ กำลังยืนมองเห็นร่างเก่าที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้า

   ๔. ความประทับใจในเพศพระภิกษุ ( เดิม ) มีแน่นแฟ้นมาก แม้ในร่างทิพย์ก็ยังรู้สึกเป็นพระภิกษุ สะพายบาตรแบกกลดแยู่เหมือนเตรียมตัวพร้อมจะออกธุดงค์พระดกรรมฐานอย่างเคย

   ๕. กระทั่งการเดินทางไปไหน ๆ ในร่างทิพย์ก็ยังเป็นพระภิกษุบัวแบกกลด สะบายบาตรอยู่

   ๖. ความจำชาติเก่าของสามเณรเลี่ยมชัดเจนมากแม้เมื่อตกคลอดในชาติไหม่ยังเป็นทารกแดง ๆ พูดยังไม่ได้ ก็ยังจำรำลึกได้ ว่าตัวยังเป็นพระภิกษุบัว สะพายบาตรแบกกลดอยู่

   ๗. สติความรำลึก ความจำแจ่มชัด แม้ยังเป็นทารกแดง ๆ นี้ คงเนื่องจากได้บำเพ็ญธรรม ทำสมาธิไว้ดีมากในชาติเป็นพระภิกษุบัว

   เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่น่าพิจารณามากสำหรับชาวพุทธศาสนิกชนที่ยังไม่ได้ปฏิบัติทางสมาธิธรรม หรือปฏิบัติแต่ยังไม่แน่วแน่มั่นคง ควรตั้งความเพียรปฏิบัติสมาธิธรรมให้ได้ผลแน่วแน่มั่นคงไว้เพื่อความไม่ประมาท....

    จากพระมหา ดร. สุเทพ อกิญฺจโน จังหวัดชลบุรี
เรียบเรียงโดย ส. ทับทิมเทศ