ตายจากคนเป็นนางฟ้า
จากนางฟ้ามาเป็นมนุษย์
เด็กหญิงอุรารัตน์ ศรีนิล

    สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย แม้จะรับรู้จากพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็กพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สรรพสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด กระนั้นก็ยังเกิดความลังเล สงสัยไม่ได้ว่าตายแล้วเกิดจริงหรือ ? ตายแล้วจะเกิดใหม่เป็นอะไร ? การเกิดใหม่ในภพชาติใหม่เป็นไปตามกรรมจริงหรือไม่?

    ตราบใดที่คิดลังเลสงสัยอยู่เช่นนี้ ก็เท่ากับจมอยู่ในอวิชชาอันมืดมัวไม่มีที่สิ้นสุด

    ปรากฏการณ์ของบุคคลจำนวนที่ระลึกชาติได้จดจำได้ ว่าชาติก่อนตนเป็นใคร เป็นลูกของใคร ตายแล้วมาเกิดใหม่กับพ่อแม่ใหม่ในชาตินี้ ซึ่งมิได้เป็นญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเดียวกับกับพ่อแม่ในชาติก่อน จึงเป็นข้อยืนยันอย่างชัดเจนได้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีตริง ๆ มิใช่ตายแล้วสูญอย่างที่ลังเลสงสัยกันอยู่

    “ โลกหน้ามีจริง ” ขอนำเรื่องของเด็กหญิงอุรารัตน์ ศรีนิล ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ระลึกชาติในอดีตได้ มาให้ท่านได้รับรู้ถึงความเป็นจริงของวิถีแห่งการเกิดการตายอันไม่มีที่สิ้นสุด ดังต่อไปนี้

    ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นที่อยู่ของ นายชำนาญ และ นางแอ๊ว ศรีนิล นางแอ๊วได้ตั้งครรภ์ลูกอีกคนและคลอดเป็นลูกผู้หญิง เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ ตั้งชื่อว่า “ อุรารัตน์ ”

    เด็กหญิงอุรารัตน์ เจริญวัยจนมีอายุได้ ๓ ขวบกว่า สัญญาณของการระลึกชาติได้ก็เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น เธอจำได้ว่าชาติก่อนเธอคือ เด็กหญิงยุวดี ลิ้มสวัสดิ์ พ่อชื่อชี แม่ชื่อเนือง ลิ้มสวัสดิ์ บ้านของพ่อแม่ชาติก่อน อยู่ห่างจากบ้านพ่อแม่ปัจจุบันประมาณ ๑ กิโลเมตรเท่านั้น

    ชาติก่อนที่เกิดเป็น เด็กหญิงยุวดี ลิ้มสวัสดิ์นั้น เธอเกิด ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และตายเมื่อมีอายุได้ ๘ ขวบ

    สาเหตุของการเสียชีวิตในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๔ เนื่องจากวันนั้นเด็กหญิงยุวเดีไปอาบน้ำที่ลำห้วย ไม่ห่างจากบ้านเท่าไหร่นัก ครั้นขึ้นจากน้ำอาการอ่อนเพลีย ใจสั่นคล้านจะเป็นลม แต่ก็เดินมาถึงบ้านจนได้ ถึงบ้านแล้วได้เรียกแม่ให้ช่วยอุ้มไปนอน เพราะไม่มีแรง แม่ตกใจรีบอุ้มเด็กหญิงยุวดีไปนอนพักใต้ถุนบ้าน จากนั้นเด็กหญิงยุวดีก็หมดสติ หมดลมหายใจเนื่องจากหัวใจวาย เสียชีวิตอย่างกระทันหัน โดยไม่มีทางช่วยเหลือแก้ไขได้เลย

    หลังจากตายแล้ว จิตวิญญาณของเด็กหญิงยุวดีได้ไปสวรรค์ เธอเล่าว่าได้ไปอยู่กับท่านแม่และพี่ ๆ อีก ๔ คน สภาพบนสวรรค์นั้นมีอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่มีฝน อากาศสว่างไสวตลอดเวลา เป็นความสว่างไสวแบบเย็นตาทั้งวันทั้งคืน และไม่ใช่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงอาทิตย์เหมือนในโลกนี้ บ้านที่อยู่กับท่านแม่และพี่ ๆ บนสวรรค์ กว้างขวางใหญ่โต สวยงามเป็นสีชมพูสดใสทั้งหลัง

    หลังจากอยู่บนสวรรค์เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ( เวลาในโลกมนุษย์นาน ๙ ปี ) เด็กหญิงยุวดี ก็มาเกิดใหม่เป็น เด็กหญิงอุรารัตน์ เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ และเมื่ออายุได้ ๓ ขวบกว่า เธอก็รำลึกชาติได้

    เด็กหญิงอุรารัตน์ เริ่มบอกให่พ่อแม่ปัจจุบันฟังว่า ชาติก่อนเธอเป็นใคร พ่อแม่ชื่ออะไร แต่พ่อชำนาญและแม่แอ๊วไม่เชื่อว่าเป็นความจริง คิดว่าเป็นคำพูดเพ้อเจ้อมากกว่า

    กระทั่งวันหนึ่งนายซี พ่อในชาติก่อนเดินผ่านบ้าน เด็กหญิงอุรารัตน์ได้วิ่งเข้าไปหา เรียก “ พ่อซี” อย่างดีอกดีใจ นายซีเองก็แปลกใจ จึงพูดคุยกับเด็กหญิงอายุ ๓ ขวบกว่า ปรากฏว่าเด็กหญิงอุรารัตน์พูดถึงอดีตชาติของเธอตอนเกิดเป็นเด็กหญิงยุวดี ได้ถูกต้องทุกอย่าง ต่อมานายซีให้นางเนืองมาพิสูจน์อีก โดยเกล้งเดินผ่านบ้านเด็กหญิงอุรารัตน์ ก็จำได้แม่นยำ รีบเข้าไปหา กอดขาแม่ชาติก่อนแล้วเรียก “ แม่เนือง” ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลย

    คราวก่อนนี้พ่อแม่ในชาติก่อนและพ่อแม่ในชาติปัจจุบันต้องพูดจากันเรื่องการระลึกชาติได้ของเด็กหญิงอุรารัตน์ ขณะเดียวกันเด็กหญิงอายุ ๓ ขวบกว่า ได้รบเร้าให้พ่อซีพากลับบ้านเดิม พ่อแม่ทั้งสี่คนจึงตกลงใจที่จะพิสูจน์ความจริง

    เมื่อทุกคนพาเด็กหญิงอุรารัตน์ไปยังบ้านนายซี นางเนือง เด็กหญิงอุรารัตน์ก็จำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่บ้างหลังเก่าแบบเรือนไทยโบราณใต้ถุนสูงที่เธอเคยอยู่สมัยเป็นเด็กหญิงยุวดี นอกจากนี้เธอยังจำของใช้ส่วนตัว เช่นเสื้อผ้า ของเล่น ปิ่นโตใส่อาหารไปโรงเรียน และเมื่อพบญาติพี่น้อง เธอก็จำได้ทุกคนยกเว้นน้องที่เกิดมาภายหล้งเธอเสียชีวิตแล้ว

    มีการพิสูจน์ขั้นสุดท้ายด้วยการนำรูปถ่ายของเด็กหญิงยุวดีเอามาปนเปกับรูปถ่ายเด็กวัยเดียวกันแล้วให้เด็กหญิงอุรารัตน์เลือก ปรากฏว่าเธอหยิบรูปถ่ายของเด็กหญิงยุวดีขึ้นมาทันที และบอกว่านี่คือตัวเธอในชาติก่อน พ่อซีแม่เนืองถึงกับน้ำตาร่วงด้วยความตื้นตันใจที่ได้พบลูกในอดีตอีกครั้ง

    เด็กหญิงอุรารัตน์ผู้ซึ่งรำลึกชาติได้ จำสถานที่ลำห้วยที่เธอไปอาบน้ำก่อนเสียชีวิตอย่างกระทันหันได้อย่างแม่นยำและยังนำไปดูที่ฝังศพของเธอในสวนยางไม่ห่างจากบ้านเดิมเท่าไหร่นัก ณ ที่ฝังศพมีฝาคอนกรีตปิดหลุมศพ มีชื่อเด็กหญิงยุวดี ลิ้มสวัสดิ์ อยู่บนฝาคอนกรีตชัดเจน ( ศพได้ถูกนำขึ้นมาเผาหลายปีแล้ว ) ที่น่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เด็กหญิงอุรารัตน์ยังรำึำลึกชาติได้อีกชาติหนึ่ง คือก่อนที่เธอจะมาเกิดเป็นเด็กหญิงยุวดี เธอได้เกิดเป็นเด็กหญิงเช่นกัน แต่จำชื่อตัวเองและพ่อแม่ในอดีตชาตินั้นไม่ได้ เนื่องจากเป็นเวลานานมากเธอจำได้ว่าพ่อแม่ในชาตินั้นมีฐานะค่อนข้างยากจน เธอมีอายุ ๑๐ ขวบ เท่านั้นเอง

    เด็กหญิงอุรารัตน์จำได้แม่นยำอีกอย่าง คือ หลุมฝังศพของเธอในชาตินั้น และเธอได้พาไปดู เป็นหลุมศพเก่าแก่รกร้างอยู่ด้านหลังโรงเรียนบ้านท่าม่วง อยู่ห่างจากบ้านในชาติปัจจุบันในชาติปัจจุบันกว่า ๕ กิโลเมตร ต้องเดินฝ่าป่าละเมาะเข้าไปสถานที่ฝังศพพงรก ๆ เช่นนี้ หากรำึลึกไม่ได้จริงย่อมไม่ทางรู้ และพาเข้าไปดูได้อย่างเด็ดชาด

    เด็กหญิงอุรารัตน์เล่าว่าหลังจากที่เธอตายในชาตินั้นแล้่ว เธอก็มาเกิดเป็น เด็กหญิงยุวดี ลิ้มสวสดิ์ เมื่อเมื่อตายอีกจึงได้เกิดมาเป็นเด็กหญิงอุรารัตน์ ในชาติปัจจุบัน

    สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งก็คือ เด็กหญิงอุรารัตน์มีญาณพิเศษติดตัวมาแต่กำเนิด สามารถติดต่อพูดคุยกับท่านแม่ เพื่อน ๆ และพี่ ๆ ในภพสวรรค์ได้โดยไม่ต้องหลับตาเข้าสมาธิ ดังนั้นเธอจึงขอให้พ่อแม่ในชาติปัจจุบันทำบ้านหลังเล็ก ๆ ทรงไทย ซึ่งเธอออกแบบเองตั้งไว้บนชั้น ๒ ของบ้าน เธอบอกว่าใช้เป็นสถานที่รับรองท่านแม่ พี่และเพื่อนเวลาลงมาจากสวรรค์มาเยี่ยมเธอ

    เวลาใดที่ท่านแม่ เพื่อและพี่ ๆ ต่างภพต่างภูมิมาหา เธอจะขอให้แม่แอ๊วจัดอาหาร ขนม น้ำ และดอกไม้มาต้อนรับ และเธอจะนั้งพูดคุยด้วย แต่ไม่มีใครเห็นตัวท่านและผู้อื่น ซึ่งมาจากภพสวรรค์ นากจากเธอคนเดียวเท่านั้นที่เห็น

    เด็กหญิงอุรารัตน์บอกว่าเธอมักจะไปเยี่ยมท่านแม่และพี่ ๆ ตลอดจนเพื่อน ๆ บนสวรรค์ด้วยการนั่งสมาธิ ( ถอดกายทิพย์ไป ) ซึ่งเธอจะนั่งสมาธิตอนหัวค่ำ คราวละไม่ต่ำกว่าครึ่งช่ั่วโมง ขณะนั่งสมาธิเธอขอร้องไม่ให้ใครรบกวน เพราะจะทำให้ต้องรีบกลับจากภพสวรรค์ทันที

    นอกจากนี้เด็กหญิงอุรารัตน์ ยังบอกอีกว่าที่จริงแล้วเธอถึงกำหนดกลับคืนไปสู่สวรรค์ คือตายไปจากโลกมนุษย์ตั้งแต่ อาย ๘ ขวบแล้ว ( ขณะให้สำภาษณ์มีอายุ ๙ ขวบกว่า ) แต่พ่อชำนาณ แม่เเอ๊ว ขอร้องไม่ให้เธอจากไปเร็วอย่างนั้น เธอจึงไปขอร้องท่านแม่ขออยู่ในโลกมนุษย์อีกระยะหนึ่ง ท่านแม่สงสารพ่อแม่ชาติปัจจุบันที่จะต้องเศร้าโศกเสียใจ เมื่อเธอตายจึงยินยอมอนุญาตให้อยู่เป็นมนุษย์ต่อไปในระยะเวลาที่ขอ

    น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ตั้งแต่เด็กหญิงอุรารัตน์ตัวเล็ก ๆ จำความได้ เธอเป็นคนจิตใจเมตตา กรุณาต่อสัตว์ทุกชนิด ไม่เคยฆ่าหรือทำร้าย แม้แต่ครั้งเดียว เห็นใครฆ่าสัตว์ จะเข้าไปขอร้องไม่ให้เขาฆ่า และบอกว่าจะเป็นปาบกรรมติดตัว เพราะทุกคนตายไปแล้วก็ต้องมาเกิดใหม่อีก ทำกรรมดี กรรมเลวอย่างไร ก็ต้องรับกรรมนั้น เธอยังสอนต่อไปอีกว่า ให้พยายามสร้างแต่กรรมดี ความดีเอาไว้มาก ๆ หมดอายุขัย ตายไปเมื่อไหร่ก็จะได้ไปอยู่ในสวรรค์ แต่ถ้าสร้างแต่กรรมเลว กรรมชั่วมากมาย ตายเมื่อใดก็ต้องไปรับกรรมในนรก ได้รับแต่ความทุกข์ ทรมานจนกว่าจะใช้กรรมหมด

    สำหรับเรื่อง “ ความตาย ” นั้น เด็กกหญิงอุรารัตน์กล่าวว่าเธอไม่กลัวตาย เพราะการตาย คือการเดินทางกลับบ้านเดิมนั้นเอง เธอเคยเกิดในโลกนี้และกลับไปสวรรค์หลายครั้งหลายหนแล้ว การมาเกิดแต่ละชาติเหมือนการเดินทางมาเที่ยวมาหาความรู้แปลก ๆ พอได้เวลากำหนดไว้ก็ต้องกลับบ้านเดิมเสียที ไม่มีอะไรน่ากลัวเกี่ยวกับความตาย อันที่จริงเธออยากกลับไปสวรรค์มากกว่าอยู่ในโลกมนุษย์

    นอกจากนี้เธอบอกว่า ใครที่ฝึกสมาธิจนสำเร็จเข้าขั้นมีตาทิพย์ หูทิพย์ รำลึกชาติได้ก็สามารถติดต่อกับเทวดาชั้นต่าง ๆ ได้ อยากไปเห็นสวรรค์ก็ไปได้ สำหรับผู้ที่ปรารถนา ภพสวรรค์เป็นที่อยู่อาศัยหลังจากตายแล้ว จะต้องประกอบแต่ กรรมดี ไม่ทำชั่ว ถือศีล ๕ ให้เคร่งครัด มีเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย ปฏิบัติได้เช่นนี้ก็จะพ้นจากนรกภูมิ และได้อยู่ในสวรรค์ซึ่งดีประเสริฐกว่าอยู่ในโลกมนุษย์มากมายนัก

    นี่คือเรื่องราวของเด็กหญิงอุรารัตน์ ศรีนิล ผู้รำลึกชาติได้ ได้ยืนยันให้เห็นว่าคนทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมาใช้หนี้กรรมจนกว่าจะหมดกรรม ผู้ใดปรารถนาภพ ภูมิสวรรค์หลังจากตายไปแล้ว ยังมีโอกาสที่จะกระทำความดีสะสมเอาไว้ตั้งแต่วันนี้ที่มีลมหายใจอยู่

    สำหรับผู้ไม่เชื่อในกรรมดี กรรมชั่ว ย่อมสายเกินไปที่จะสำนึกได้หากไปทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรกอเวจี..

    จากพระมหา ดร. สุเทพ อกิญฺจโน จังหวัดชลบุรี
เรียบเรียงโดย ส. ทับทิมเทศ