ชาติก่อนชาตินี้

    พุทธศาสนา รับรองการเวียนว่ายตายเกิด ว่าเป็นเรื่องจริง พระพุทธองค์ทรงเทศนาเรื่องนี้ ไว้ในที่หลายแห่ง ว่า “ตราบใดที่คนมีกิเลสหรือตัณหาราคะอยู่ ตราบนั้นก็จักต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก”

    สำหรับรายที่จะเล่านี้ผู้เล่าได้มาจากหนังสือ “ เรื่องที่ปู่ชอบเล่า ของ เจษฏ์ ปรีชานนท์ ” คุณเจษฏ์เล่าว่า ปู่ของคุณเจษฏ์เกิดที่ จังหวัดสมุทรสาคร ในสมัยรัชการที่ ๒ ปีขาล พ.ศ. ๒๓๖๑ เมื่อปู่อายุ ๑๓-๑๔ ปี ปู่ได้รู้จักกับภิกษุรูปหนึ่งซึ่งอยู่ที่วัดใกล้บ้าน พระภิกษุรูปนี้อายุแก่กว่าปู่ ๕๐ ปี ชาวบ้านในแถบนั้นต่างยอมรับว่า พระภิกษุรูปนี้เป็นผู้ที่ระลึกชาติได้ ซึ่งปู่ของคุณเจษฏ์ได้มีโอกาสซักถาม ถึงเรื่องระลึกชาติของท่าน ได้ความตามที่พ่อของคุณเจษฏ์เล่าฟังดังนี้

   ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสมุทรสาครในปัจจุบัน ครอบครัวนี้มีพ่อแม่และลูก ๆ พ่อรักลูกคนเล็กอายุ ๒-๓ ขวบมาก แต่พ่อบ้านมีนิสัยแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่ทำบุญทำทานอะไรเลย ทั้งที่วัดและที่บ้าน แต่ก็ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและไม่เบียดเบียนคนและสัตว์ นอกจากมีอยู่ครั้งเดียว ในชาติที่ทำบุญ กล่าวคือมีพระมาบอกบุญให้สร้างฐาน (ส้วม) แกเลยรับทำแต่ผู้เดียว เพื่อที่จะได้คุ้มกับที่ไม่เคยทำบุณมาก่อนเลยในชีวิต

    อยู่มาวันหนึ่ง ชายคนนั้นนั่งอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกมึนศีรษะเลยฟุบเป็นลมตายไป เมื่อชายคนนั้น ตายไปได้ไม่กี่ปีภรรยาของแกซึ่งยังสาวอยู่ ก็ไปได้สามีใหม่ และอยู่กับสามีใหม่มาได้สัก ๒๐ ปี ก็มีคนที่อยู่เหนือคุ้งน้ำขึ้นไป ๒-๓ คุ้งน้ำ สองคนผัวเมียพายเรือมาจอดที่หน้าบ้าน โดยมีเด็กชายนั่งมาด้วย

    พอพายเรือมาถึงหน้าบ้านเขาก็แกล้งพายเลยไป เด็กบอกว่า เลยไปแล้ว และได้แนะนำให้เลี้ยวตรงนั้น ๆ จอดตรงนั้น ๆ เขาก็ทำตามและได้พาขึ้นมานี้แหละ

    แม่ในชาติก่อน และสามีใหม่ตลอดจนลูก ๆ ของสามีเก่าซึ่งเป็นลูกในชาติก่อน จึงได้ทดลองเอาเสื้อผ้าของสามีใหม่กับสามีก่อนมากองปนกันแล้วให้เด็กเลือกดู เด็กก็หยิบเสื้อผ้าของสามีเก่ามาทีละชิ้น ๆ มาวางไว้เป็นอย่างดี ชิ้นไหนที่เป็นของสามีใหม่ ก็เหวี่ยงไปไกล ๆ เด็กหยิบเสื้อผ้าของสามีเก่าได้ถูกต้องทุกชิ้น

   นอกจากนั้นเด็กยังเล่าเรื่องเก่า ๆ ให้ฟังอีกว่า เมื่อชาติก่อนตนนอนพักผ่อนในเวลากลางวันตรงไหน ทำงานอะไรบ้างที่ไหน ฯลฯ ซึ่งถูกต้องตรงกับความจริงหมด ทุกคนเชื่อว่าเด็กคนนี้ได้กลับชาติมาเกิดจริง ลูก ๆ เมื่อชาติก่อนจึงเรียกเด็กคนนั้นว่าพ่อ หลาน ๆ ก็เรียกว่าปู่เรียกตามกัน

    ดังนั้นเมื่อถึงเวลาตรุษสงกรานต์ พวกลูกหลานจึงพากันไปรดน้ำให้พ่อให้ปู่ให้ตาของตน หรือไปเยี่ยมปู่ตาเป็นประจำ พอเด็กนั้นโตขึ้นก็ได้บวชเณร และพออายุครบบวชก็ได้ทำการอุปสมบท และได้อยู่เป็นพระเรื่อยมา จนอายุ ๖๐ ปีเศษ ปู่ของคุณเจษฏ์จึงได้มีโอกาสพบและรู้จัก จึงได้ซักถามซึ่งพระภิกษุรูปนั้นก็ได้เล่าเรื่องของท่านเมื่อชาติก่อนให้ฟังดังกล่าว

   พระภิกษุรูปนั้นเล่าให้ฟังถึงเมื่อชาติก่อนตายว่า เมื่อรู้สึกตัวว่าตาย และวิญญาณออกไปจากร่างแล้วนั้น ปรากฏว่าได้ไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ถูกบังคับให้ยืนกันเป็นแถว หน้ากระดานเรียงหนึ่งแล้วมีคนนำลูกไม้ชนิดหนึ่ง มาให้ทุกคนกิน ตอนนี้แกรู้สึกคิดถึงลูกคนเล็ก ๆ มาก เพราะว่ากำลังเป็นเด็กน่ารักที่น่าเอ็นดูทีเเดียว อยากกลับไปหาลูกเหลือเกิน แต่ก็หาทางหลบหนีไม่ได้ เมื่อแกได้ผลไม้นั้นแล้ว จึงถือไว้ก่อน แล้วคอยดูคนอื่นว่า เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร แกสังเกตเห็นว่าเมื่อคนอื่นกินไปสักประเดี๋ยว ก็รู้สึกหน้าตาผิดปกติ พูดจากันไม่รู้เรื่อง ลืมเรื่องเก่า ๆ หมด แกเรียกผลไม้นั้นว่า “ลูกลืม”

    ด้วยเหตุที่เมื่อกินเข้าไปแล้ว ทำให้ลืมเรื่องราวต่าง ๆ ไปหมดสิ้น แกจึงเอาลูกนั้นห่อพกไว้ สักครู่หนึ่งก็มีคนมาตรวจ มาคลำที่ท้องทุกคน พอคลำท้องคนที่กินลูกลืมไปก็มีเสียงดัง “อ๊อด ๆ” พอมาคลำที่ท้องของแกบ้าง ก็ถูกห่อพก ก็มีเสียงดังเช่นคนอื่น เขาจึงชี้ทางให้ทุกคนเดินไปบอกไปทางนั้น ๆ

    แกรอให้คนอื่นเดินไปกันก่อน เมื่อไปกันหมดแล้ว แกจึงเดินทางกลับมาเมืองมนุษย์ กลับมาบ้าน ตอนนี้ต้องเป็นผีพเนจร เที่ยวหากินเอง อดอยากมาก มีตะบองเหล็กท่อนหนึ่งเป็นของคู่มือ (ไม่ทราบว่าได้มาอย่างไร หรอได้มาจากไหน) แต่ตะบองเหล็กนี้ ไม่ได้ใช้เป็นอาวุธทำร้ายใคร ใช้แค่ไว้สำหรับสอยข้าวที่คนกิน แล้วหกติดค้างตามร่องพื้น เนื่องจากบ้านตามหัวเมืองสมัยโบราณนั้นพื้นไม้ไม่ได้เข้าลิ้น หรือไม่ได้ผึ่งไม้ไว้ให้มันหดตัวเต็มที่ก่อนจึงนำมาทำพื้น รอยห่างจากไม้กระดานจึงมีอยู่เกิดเป็นร่องขึ้น เวลาหิวก็เที่ยวไปตามใต้ถุนบ้าน เอาตะบองสอยข้าวที่ตก ๆ หล่น ๆ ค้างอยู่ตามร่องมากิน

    มีเพื่อนผีด้วยกันเหมือนกัน บางครั้งก็ไปหลอกให้เด็กตกใจ เด็กจะร้องไห้จ้าด้วยความกลัว แต่ก็ไม่สบายไป พ่อแม่จะไปเสียกบาล คือนำอาหารมีข้าว กับใส่กระทง มีตุ๊กตาใส่กะบะที่ทำด้วยกาบกล้วยทุบหัวตุ๊กตาเสีย แล้วไปทิ้งไว้ตามทางสามแพร้ง สี่แพร่ง เมื่อมีคนเสียกบาลก็ได้กินบ้าง แต่ก็อดอยาก ได้รับความทุกข์ทรมานมากคราวหนึ่งแกออกหัวคิด ไปที่บ้านหนึ่ง แม่ลูกอ่อนกำลังตำข้าวด้วยสากมือ แกจึงเข้าไปหลอกให้ลูกร้อง พอลูกร้องจ้าเท่านั้นแม่ก็ถือสากวิ่งมาปัดแกว่งเป็นทำนองว่า ตีตามข้าง ๆ ตัวเด็กแกเห็นว่าแม่เด็กเอาจริง เลยต้องหนี

   อยู่มาวันหนึ่งแกคิดถึงลูกคนเล็กมากจึงเอาตะบองเหล็กซ่อนไว้แล้วก็เข้าไปใน “หม้อใหม่” คำว่าหม้อใหม่นี้ผมเคยได้ยินมาหลายรายแล้ว ไม่ใช่ผมบัญญัติขึ้นเอง จึงขอใช้ตามที่ปู่เล่ามา พอครบกำหนดคลอด ก็คลอดตามปกติ พอแกพูดได้ จึงเล่าเรื่องชาติเก่าเรื่องที่ตายไปจนถึงตอนที่เข้าหม้อใหม่ให้พ่อแม่ฟัง และขอร้องให้นำแกไปที่บ้านเก่า พ่อแม่ก็ไม่เชื่อจนอายุได้ ๕-๖ ขวบ พ่อแม่สงสัย เมื่อถูกรบเร้าหนักๆเข้าก็อยากจะลองดูซิว่า จะจริงหรือไม่ จึงได้พาไปยังบ้านเดิมของแกดังกล่าวมาในข้างต้นนั้นแล้ว

    อนึ่งเมื่อแกอายุมากขึ้น ก่อนจะบวชเณร แกไปหยิบเอาตะบองเหล็กที่แกซ่อนไว้ ตอนเป็นผีก่อนที่แกจะมาเกิดไปเก็บไว้ ตะบองเหล็กนี้คนอื่นหยิบไม่ได้ พอจะหยิบจะเห็นผี....ปรากฏ แกหยิบได้คนเดียว แกบอกว่าแกเป็นผีจะไม่อดอยากอย่างไร เมื่อเกิดมาในชาติก่อนนั้น แกไม่เคยทำบุญตักบาตร หรือให้ทานอะไร ไม่ได้สะสมเสบียงไว้เพื่อโลกหน้าเลย แกอยู่ในสมณเพศจนมรณภาพ.......