คำปรารภ ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ

    เรื่องตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญเป็นปัญญหาที่ถกเถียงกันอยู่ ไม่รู่จบสิ้น สำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง แต่สำหรับผู้ที่รู้จริงแล้ว ท่านจะไม่สงสัย อะไรเลย

    ทั้งนี้ก็เพราะ ความจริงนั้น ตายแล้วต้องเกิดแน่ แต่จะไปเกิดช้าเกิดเร็ว เกิดเมื่อไรนั้น ย่อมสุดแต่ผลของกรรมที่ทำมาไว้ในสมัยเมื่อยังไม่ตายเท่านั้น

    ตามพุทธโอวาท ที่ตรัสไว้ว่า “ กมฺมุมา วตฺตตี โลโก ” สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ต้องยอมรับตามพระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้ว่า คนเราตายแล้วต้องไปตามกรรมของตน แต่ที่ว่าไปไหนนั้น ยังให้คำตอบชี้ชัดลงไปแน่นอนยังไม่ได้ เพราะแล้วแต่กรรมที่ทำไว้จะเสกสรรปั้นแต่งให้เป็นไป

    พระพุทธศาสนาเชื่อถือในสังสารวัฎ การเวียนว่ายตายเกิดและถือว่าืคนเราทุกคน ล้วนเกิดมาแล้วทั้งสิ้น นับชาติไม่ถ้วน และเกิดภพภูมิที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามกฎแห่งกรรมที่ได้ทำไว้

    กรรมจะนำไปเกิดในภพภูมิใหม่ คือคนที่ทำกรรมดีไว้ ย่อมไปเกิดในภพที่ดี คนทำกรรมชั่ว ย่อมไปเกิดในภพที่ชั่ว ที่เลว กรรมที่ส่งให้เกิดนั้น เรียกว่า ” ชนกกรรม ” ชนกกรรมฝ่ายดีส่งให้เกิดในตระกูลที่ดี ตระกูลสูง มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติและบริวาร

    กรรมดี หรือ กรรมชั่ว จะคอยติดตามบุคคลผู้ทำอยู่เสมอเหมือนเงาตามตัว แต่การที่คนมองไม่เห็นการตามของกรรม ก็เพราะดำเนินชีวิตอยู่ในความมืด เหมือนบุคคลไม่เห็นผู้ติดตามตน อยู่ในที่มืด พอเข้าสู่ที่สว่าง ถ้าเขาเหลียวไปมอง ย่อมเห็นได้ บุคคบ ที่ได้รับการอบรมจิตให้สงบ สะอาด สว่างมากเท่าใด ก็จะมองเห็น กรรมและผลของกรรมมากขึ้นเท่านั้น

    หลักกรรมกับสาสารวัฎ หรือการเวียนว่ายตายเกิด มีความสัมพันธ์กับอย่างใกล้ชิด หลักกรรมจะดำรงอยู่ไม่ได้ หรือถ้าได้่ ก็ไม่สมบูรณ์ ถ้าไม่มีเรื่องสังสารวัฎ เพราะชีวิตเดีียวสั้นเกินไปไม่พอ พิสูจน์กรรมให้หมดสิ้นได้ ปัญหาที่น่าสังสัย เช่น ทำไมคนดีบางคน จึงมีความเป็นอยู่ลำบากต่ำต้อย สุขภาพไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ ส่วนคนที่เห็นว่าชั่ว บางคนหลับมีความสุขสบาย มีร่างกายแข็งแรง เราไม่อาจคลายความสงสัยได้ ถ้ามองดูชีวิตกับเพียงชาติเดียว

    หลักรรมและการเกิดใหม่ จะบอกเราว่า คนที่เราเห็นว่าชั่วนั้นเขาย่อมต้องเคยทำกรรมดีมาบ้างในอดีตชาติ และคนทีี่เราเห็นอยู่ในเวลานี้ ย่อมต้องเคยทำกรรมชั่วมาบ้างเหมือนกัน กรรมดีย่อมให้ผลดี กรรมชั่วย่อมให้ผลชั่ว ตามอิทธิพลของมัน เที่ยงตรงที่สุดไม่เลือกที่รัก ผลักที่ชัง

    พระพุทธศาสนายืนยันว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่จริงซึ่งหลักฐานปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาจำนวนมาก เช่น ในคัมภีร์ชาดกเปรตวัตถุ วิมานวัตถุ ฯ ล ฯ

    สัตว์โลกที่ไปเกิดอยู่ในภูมิทั้ง ๓๑ ภูมินั้น ย่อมเกิดในกำเนิดทั้ง ๔ คือ

    ๑. ชลาพุชะ   เกิดในครรภ์
    ๒. อัณฑชะ   เกิดในไข่
    ๓. สังเสทชะ   เกิดในเถ้าไคล
    ๔. โอปปาติกะ   เกิดผุดขึ้น

    คำว่า “ สัตว์โลก” คือ ผู้ยังข้องอยู่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ฉะนั้น จึงหมายรวมถึงมนุษย์ เทวดา พรหม ในทุกภพภูมิและสัตว์ในอบายภูมิทั้ง ๔ มิได้หมายเฉพาะสัตว์ดิรัจฉานประเภทเดียว

จะขอขยายความ กำเนิด ๔ ดังนี้

    ๑. ชลาพุชะกำเนิด   ได้แก่ สัตว์ที่เกิดในมดลูก คือ มนุษย์ และสัตว์ดิรัจฉานที่คลอดออกมาเป็นตัว และเลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค กระบือ สุนัข แมว เป็นต้น

    ๒. อัณฑชะกำเนิด   ได้แก่ สัตว์ดิรัจฉานที่ออกมาเป็นไข่ก่อนแล้วจึงฟักออกมาเป็นตัว เช่น ไก่ เป็ด นก ปลา เต่า จิ้งจก งู เป็นต้น

    ชลาพุชะกำเนิดและอัณฑชะกำเนิดนี้ รวมเรียกว่า ศัพภเสยยะกำเนิด เพราะเกิดอยู่ในครรภ์ของมารดาก่อน ภายหลังจึงออกจากครรภ์

    ๓. สังเสทชะกำเนิด   ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดโดยไม่อาศัยท้องพ่อแม่ แต่อาศัยเกิดจากต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ของโสโครก ที่ชุ่มชื่น เชื่อรา เป็นต้น

    ๔. โอปปาติกะกำเนิด   ได้แก่ สัตว์โลกที่เกิดมาโดยไม่ได้อาศัยพ่อแม่และของโสโครก หรือที่ชุ่มชื่น แต่อาศัยอดีตกรรมอย่างเดียว และเมื่อเกิดก็เติบโตขึ้นทันที เช่น พวก สัตว์นรก เปรต เทวดา มนุษย์สมัยต้นกัป เป็นต้น

    ทุกคนที่เกิดมาแล้ว ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้เลย นี้คือ สัจจธรรมของโลก  เมื่อคนที่ใกล้จะตาย จวนเจียนจะสิ้นใจนั้น กรรมดีหรือกรรมชั่วที่เขาได้เคยทำไว้ จะเเสดงปรากฏการณ์ออกมาให้ทราบอาการที่ปรากฏ เมื่อจวนเจียนจะตายเช่นนี้ ท่านเรียกว่า   “ มรณาสันนวิถี ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและสนใจ เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดในพระพุทธศาสนา เพื่อความเข้าใจดีในการค้นคว้าเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่ มีดังนี้

    มรณาสันนวิถี   เป็นวิถีใกล้จะตาย คือ เมื่อมรณาสันนวิถีเกิดขึ้นแล้ว จุติจิตย่อมเกิดขึ้นในลับดับที่ใกล้สเคียงกัน จะไม่มีวิถีจิตที่มีอารมณ์เป็นอย่างอื่นคั่นระหว่างจุติจิตเลย

    ในมรณาสันนวิถีนี้ มีชวนจิตเกิดขึ้นเพียง ๕ ขณะเท่านั้น เพราะเหตุที่จิตมีกำลังอ่อน เนื่องจากอำนาจของกรรมที่ส่งมานั้น ใกล้จะหมดอำนาจอยู่แล้ว และอีกประการหนึ่งหทัยวัตถุ อันเป็นที่ตั้งของจิต มีแต่เสื่อมกำลังไปเรื่อย ๆ กำลังของจิตก็อ่อน เมื่อสุดมรณาสันนวิถีแล้ว ต่อจากนั้น จุติจิตจะเกิดขึ้น ๑ ขณะเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า   “ สัตว์ถึงความตาย ” 

    ในทันทีที่จุติจิตดับลง ปฎิสนธิจิตต้องเกิดอย่างแน่นอน โดยไม่มีจิตอื่นมาคั่นในระหว่างเลย นี้หมายถึงจิตของสัตว์ทั่วไป แต่ถ้าเป็นจิตของพระอรหันต์แล้ว เมื่อจุติจิต หรือจิตดวงสุดท้าย ดับลงแล้วเข้าสู่   นิพพาน   ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    มรณาสันนวิถี ของปุถุชนและบุคคลทั้งหลาย เมื่อใกล้จะตายก่อนที่จุติจิตจะเกิดขึ้น ถ้ามีรูป เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัส เป็นอารมณ์ มรณาสันนวิถีเช่นนี้ เรียกว่า   มรณาสันนวิถีทางปัญญาทวาร   แต่ถ้าเป็นความรู้สึกนึกคิดทางใจมรณาสันนวิถีนั้น เรียกว่า  มรณาสันนวิถีทางมโนทวาร 

    สัตว์ทั้งหลายที่ยังไม่หมดกิเลส ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์นรก เปรตสัตว์ดิรัจฉาน เทวดา พรหม เมื่อใกล้จะตาย จะมีอารมณ์ ๓ ประการ คือ กรรม , กรรมนิมิต, คตินิมิต อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น โดยจิตได้หน่วงหรือยึดเอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างนี้ โดยมีอารมณ์ทั้ง ๓ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง มาปรากฏทางทวารใดทวารหนึ่ง ในจำนวนทวารทั้ง ๖ คือ

    ๑. กรรม   ได้แก่ กรรมแารมณ์ ที่เกี่ยวกับกุศล อกุศล
    ๒. กรรมนิมิต   คือ เครื่องหมายหรืออุปกรณ์ในการทำบุญ ได้แก่ิ อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย หรือสภาพที่รู้ทางใจ
    ๓. คตินิมิต   คือ นิมิต หรือเครื่องหมายที่บ่งบอกให้ทราบถึง คติ หรือภพที่จะไปเกิด จะไปเกิดในสุคติภพ ก็มีนิมิตบ่งบอกให้ทราบ จะไปเกิดในทุคคติภพก็มีนิมิตบ่งบอกให้ทราบ

    ฉะนั้น ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดที่มีอยู่ในหมู่สัตว์โลก ไม่รู้จักจบสิ้นนั้น เพื่อเป็นการยืนยันของการตายแล้่วเกิดใหม่จริง ผู้เขียนจะขอนำเรื่องของคนที่ตายแล้ว กลับมาเกิดใหม่และได้จดจำเรื่องราวในอดีตของเขาได้ ว่าเขาคือใคร มีพ่อแม่พี่น้อง ฐานะ ร่ำรวย ยากจน อย่างไรอยู่ที่ใด ซึ่งตรงกับความเป็นจริงทุกประการ นั้นคือ การระลึกชาติของบุคคลต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้วดังต่อไปนี้.....

    จากพระมหา ดร. สุเทพ อกิญฺจโน จังหวัดชลบุรี